แข้งพลัดถิ่นโมร็อกโก: ฉากหลังแห่งเทพนิยายโซโลมอน

ทีมฟุตบอลประเทศโมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นชาติจากทวีปแอฟริกาแรกที่ผ่านเข้ารอบตัดเชือก หรือรอบ 4 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยเมื่อคืนวันเสาร์ นับตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นต้นมา และตั้งแต่ปี 1986 ที่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีม ก่อนพลิกล็อกคว่ำทีมเต็งอีกทีมอย่าง กระทิงดุ สเปน ด้วยการดวลลูกจุดโทษ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022 ครั้งนี้ พวกเขาเสียประตูเพียงแค่ 1 ลูก และเป็นการเสียด้วยการทำเข้าประตูตนเองอีกด้วย โดยยิงคู่แข่งไป 5 ลูก แต่นั่นก็เพียงพอต่อการเข้าถึงรอบตัดเชือก จนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นทีมที่มีเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งของโลกไปแล้ว ท่ามกลางกองเชียร์ชาวโมร็อกโกที่ประเมินกันว่ามีไม่ต่ำกว่า 15,000 คนที่กาตาร์ ซึ่งพร้อมจะตีกลองดาบูก้าและเป่านกหวีดส่งใจไปสู่นักฟุตบอลในสนามตลอดจนกว่าเสียงนกหวีดจากกรรมการจะหยุดเกม  นักสังเกตการณ์หลายคนกล่าวชื่นชมโดยนำไปเปรียบเทียบกับทีมชาติอิตาลี ซึ่งความแชมป์โลกในปี 2006 โดยในครั้งนั้นขุนพลอัสซูรีเสียประตูตลอดทัวร์นาเมนท์เพียงแค่ 2 ลูก การแข่งขันซึ่งเหลืออีกเพียง 2 นัดสำหรับเหล่านักฟุตบอลโมร็อกโก ไม่ว่าเทพนิยายครั้งนี้จะถูกเขียนให้ตอนจบลงเอยอย่างไร แต่พวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านฟุตบอลจากภูมิภาคที่ยากแค้นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว สายเลือดโมร็อกกันพลัดถิ่น  แสงของความสำเร็จของอดีตประเทศอาณานิคมฝรั่งเศส เริ่มส่องประกายชัดขึ้น หลังจากในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะทีมเต็งสองของรายการอย่างเบลเยี่ยม ด้วยผลสกอร์ 2-0 Achraf Hakimi ฟูลแบ็กจากสโมสรปารีส แซงแชร์แมง หนึ่งในผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นคนหนึ่งวิ่งตรงไปหาแม่ของเขา ที่นั่งเชียร์อยู่บนอัฒจรรย์ ก่อนจะสวมกอดแม่