วันที่ 6 ตุลาคม 2565 นับเป็นโศกนาฏกรรมสำคัญสำหรับประเทศไทย ประจวบเหมาะกับการครบรอบ 46 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การกราดยิงในศูนย์เด็กเล็กที่จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นความสูญเสียสำคัญที่สะท้อน ความรุนแรงในระดับกลุ่มย่อยที่สูงมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การชดเชยเยียวยา ปัญหาอาวุธปืน ภาวะความเป็นชายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) รวมถึงจรรยาบรรณและบทบาทของสื่อในการนำเสนอข่าวเหตุการณ์ต่างๆ มีหลายเรื่องที่สะท้อนความบกพร่องจากการถอดบทเรียนในอดีต และจำเป็นต้องมีการเรียนรู้และถอดบทเรียนต่อไป แต่ความสูญเสียนี้ชวนให้เราคิดว่า ชีวิตของเด็กเล็กทั่วประเทศก่อนเหตุการณ์กราดยิง ว่าพวกเขาส่วนมากได้รับการใส่ใจจากรัฐมาน้อยเพียงใด
รายจ่ายในการเลี้ยงเด็ก 1 คนจนอายุ 18 ปี เป็นค่าใช่จายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 1,000,000 บาท หรือเดือนละ ประมาณ 4,500 บาท รัฐบาลอุดหนุนเงินเลี้ยงดูเด็กสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอยู่ที่ เดือนละ 600 บาท หรือเพียงร้อยละ 15 ของค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย
ลักษณะเช่นนี้ไม่แปลกนักที่เด็กที่เกิดในครัวเรือนรายได้น้อยจะมีแนวโน้มหลุดออกจากระบบการศึกษาเรื่อยๆ เด็กที่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ราว 100 คน มีโอกาสในการเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 เพียงแค่ 30 คน เหตุผลหลักของการตกออกแต่ละช่วงอายุ ยังเป็นเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งความเหลื่อมล้ำถูกส่งต่อโดยตรงรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก
แล้วหากเราพิจารณาก่อนเข้าชั้นอนุบาล หรือประถมศึกษา รัฐได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วหรือยังในการทำให้เด็กแต่ละคนได้เริ่มต้นในจุดเริ่มต้นที่เป็นธรรม ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน สิ่งที่เด็กเล็กวัย 2-5 ขวบต้องการนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมาก นอกจาก พื้นที่สามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย พื้นที่สำหรับนอนอย่างปลอดภัย ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่แข็งจนเกินไป
สนามหญ้าสีเขียวที่เหมาะกับการเสริมสร้างพัฒนาการ อาหารที่โภชนาการครบถ้วน และบุคลากรที่ใส่ใจอย่างเพียงพอ ลักษณะเช่นนี้ราคาไม่แพงนัก และได้รับผลมหาศาลในการสร้างพัฒนาการทางสมอง ทางกาย สู่การมีสุขภาวะทางกายทางอารมณ์ที่สมบูรณ์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เงินค่าอาหารกลางวันสำหรับศูนย์เด็กเล็กอยู่ที่ 21 บาทต่อวันเท่านั้น โดยมีการเพิ่มขึ้น 1 บาทในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราสามารถเห็นได้ว่า เงิน 21 บาทต่อวัน ต่อมื้อไม่สามารถสร้างอาหารที่มีโภชนาการครบถ้วนได้ มันอาจสามารถพอเจียดเป็นเงินสำหรับการสร้างอาหารกันตายได้ แต่ไม่ใช่ปริมาณงบประมาณที่เพียงพอสำหรับคุณภาพชีวิตที่เพียงพอได้
เมื่อท้องหิว หรือคุณค่าสารอาหารที่ไม่เพียงพอ แม้แค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ก็เป็นจุดเริ่มต้นต่อการสร้างตัวตนและคุณภาพของอารมณ์ต่อไปในอนาคต เรื่องนี้น่าเศร้าเมื่อพบว่า
ข้าวกล่องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิก หนึ่งมื้ออาจสูงเท่าค่าอาหารของเด็กศูนย์เด็กเล็กทั้งเดือน คำถามสำคัญว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับจุดคุ้มทุน เกี่ยวกับผลได้ทางเศรษฐกิจ หรือเกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้หรือไม่ ที่ทำ อาหารกลางวัน ที่เพียงพอ ไม่เกิดขึ้น
เหตุใดท้องของผู้ทรงเกียรติในรัฐสภาเกียกกาย จึงสำคัญมากกว่า ท้องของเด็กที่หนองบัวลำภู น่าน ร้อยเอ็ด ยะลา คลองเตย มันมีตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจอะไรที่สูงกว่าหรือไม่ หรือหากพวกเขาท้องอิ่มพวกเขาจะทำงานเพื่อชาติได้มากขึ้น สามารถผลักดันนโยบายที่ดีได้ แต่เด็กน้อยทั่วประเทศท้องของพวกเขามีค่าเพียง 21 บาทต่อวันเท่านั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์เชิงอำนาจมากกว่าเรื่องเทคนิคทางเศรษฐศาสตร์ว่าเอาเงินมาจากไหน
ครูศูนย์เด็กเล็กซึ่งเป็นบุคลากรที่สำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กก่อนวัยเรียน มีจำนวนมากที่สถานการณ์จ้างไม่มีความมั่นคง และพบว่าครูศูนย์เด็กยังต้องทำหน้าที่ที่หลากหลาย ทั้งเป็นช่าง แม่บ้านคนทำความสะอาด บางครั้งอาจเป็นแม่ครัว ลักษณะเช่นนี้ทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มั่นคง น่าสนใจว่าเหตุใดเราไม่สามารถจ้างแม่บ้านทำหน้าที่เฉพาะ
ครูที่เพียงพอ นักจิตวิทยาเด็ก ในศูนย์เด็กเล็กให้เพียงพอได้ ศูนย์เด็กเล็กถูกปล่อยไว้ตามยถากรรมกับสภาพบุคลากรที่ไม่เพียงพอ แต่ในโลกคู่ขนาน เรากลับมีข้าราชการทหาร มากกว่า 400,000 คน (ไม่นับทหารเกณฑ์) มีข้าราชการตำรวจมากกว่า 200,000 คน ที่เราก็สงสัยอยู่เสมอว่าพวกเขามีหน้าที่ในการทำอะไร ที่ค่าใช้จ่ายในการผลิตบุคลากรเหล่าทัพ ก็แพงกว่าการสร้างครูศูนย์เด็กเล็ก 1 คนมากมายนัก
เหตุใดเรายอมให้ลูกหลานของเราอยู่ในสภาพนี้ในประเทศที่ทรัพยากรล้นเหลือ บุคลากรที่ล้นเกินความจำเป็น แต่กลับขาดแคลนสำหรับเรื่องพื้นฐานในชีวิตเรา
เหตุผลง่ายๆ คือ เผด็จการทุนนิยมชนชั้นนำจากกรุงเทพฯ ที่ตักตวงทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์จากทุกพื้นที่เข้าไป และตั้งตัวชี้วัดให้ท้องถิ่นคลานเข่าขอเศษเนื้อจากส่วนกลาง ท่องคาถาวินัยทางการคลังเมื่อเป็นเรื่องของประชาชน
ผ่อนคลายทุกข้อกำหนดเมื่อเป็นเรื่องรักษาอำนาจของชนชั้นนำ วันนี้หวังว่าความศูนย์เสียที่เกิดขึ้นจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตของลูกหลานเราภายใต้สวัสดิการที่รัฐจัดให้ และยืนยันว่าเราสมควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ในสังคมที่เสมอภาค
ในประเทศรัฐสวัสดิการ
.
ขอคนละ ‘1 ชื่อ’ ให้เกิน ‘5 หมื่น’ ตามกฎหมายกำหนด ชวนผู้มี ‘สิทธิ์เลือกตั้ง’ ลงชื่อในร่างเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ ที่ https://thevotersthai.com/support-us-signature/ เมื่อกดลิงค์เข้าไป กรุณากรอกให้ครบทั้ง 5 อย่าง ชื่อ-นามสกุล / เลขประจำตัวประชาชน / อีเมล / ติ๊กข้าพเจ้าขอรับรองความสมัครใจ / เซ็นชื่อ / เเละกดส่งชื่อ / ด้านล่างจะมีสรุปสาระสำคัญของร่าง และลิงค์ร่างฉบับเต็ม