จั๊ม ทัศกร: ศิลปินผู้เชื่อเสมอว่าศิลปะเป็นหนึ่งในทางออก

อดีตครูสอนภาษาอังกฤษทั้งโรงเรียนวัด เอกชน และร.ร.ประจำจังหวัด ผู้ชื่นชอบปาร์ตี้ ออกไปเจอผู้คน และตีแบดมินตันเป็นชีวิตจิตใจ ผลงานล่าสุด เต้นประกอบ MV Solitude is Bliss และธาตุทองซาวด์ของ Youngohm

เราสัมภาษณ์เขาเรื่องกระจายอำนาจ และการเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ

และนี่คือคำตอบของ จั๊ม ทัศกร ศิลปินผู้เชื่อเสมอว่าศิลปะเป็นหนึ่งในทางออก

คิดอย่างไรที่จังหวัดคุณ (น่าน) ไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ

ต่อให้ผู้ว่าฯ สมัยใดก็ตามจะมีศักยภาพสูง และมีความสามารถในการพัฒนาเมืองนั้นได้อย่างดีเยี่ยม แต่เขาจะไม่มีวันฟังเสียงของคนในเมืองนั้นได้เท่ากับ ผู้ว่าฯ ที่มาทำงานเพื่อเป็นตัวแทนจากเสียงคนเหล่านี้ … เหมือนเราต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ได้เลือกเอง ดีไม่ดีเราไม่มีสิทธิ์จัดการหรือทำอะไรกับเขาเลย

ถ้ามีการเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ คิดว่าประเทศจะเจริญอย่างไร

อย่างที่ได้พูดไปข้างบนว่า

ถ้าผู้ว่าฯ มาจากการที่คนในเมืองนั้นเป็นคนเลือก เป็นคนโหวตเอง เขาจะทำงานรับใช้เสียงดังกล่าว หมายความว่าเขารู้ การที่เขามายืนอยู่ในจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะอำนาจพิเศษของการแต่งตั้ง แต่เป็นเสียงของแม่ค้าในตลาดเช้า วินมอเตอร์ไซต์ที่ขนส่ง ครู ร.ร.มัธยม ชาวสวนที่ปลูกมะไฟจีนอยู่นอกตัวเมือง และอื่นๆ ที่ไว้วางใจให้เป็นตัวแทน

ดูแลความเป็นไปของตัวเมือง ซึ่งที่จะเกิดขึ้นคือ จะมีความเชื่อใจส่งต่อกัน 2 ทาง คุณให้ผม ผมให้คุณ ทุกปัญหาจะได้รับการรับฟังและคลี่คลายไป ครบวาระก็เลือกใหม่วนต่อไป ผลงานเขาทำไม่ดีก็ให้ระบบจัดการ เราก็มานั่งเลือกกันใหม่ ค่อยๆ เรียนรู้และอยู่กับระบบนี้ไปพร้อมๆ กัน

คนจะมีคำถามต่อถ้าผู้ว่าฯ ไม่แต่งตั้ง มันจะไม่ต่างจาก นายก อบจ.หรอ ด้วยความเคารพ ทุกวันนี้ผมยังงงว่า ทำไมต้องมีคนมาดูแลจังหวัดถึง 2 ตำแหน่ง คือจริงๆ ผมมีโปรเจคอยากหาทุนมาสร้างสนามกีฬาแบดมินตันที่ได้มาตรฐานให้ทุกคนได้ใช้ฟรี เลยอยากลองไปคุยกับคนที่อำนาจ คือต้องไปหาทั้ง 2 ท่านเลยจริงๆ หรอ ชีวิตไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้วสินะ  ทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ล้วนมีหน้าที่เหลื่อมซ้อนกัน ผมมองเห็นข้อดีข้อเดียวของการแต่งตั้งคือ คนมีอำนาจสูงสุดจากส่วนกลางเป็นห่วง กลัวคนเมืองดูแลเมืองไม่ได้ เลยส่งคนมาช่วย ถามเราก่อนยังว่าต้องการให้ช่วยมั้ย

กลับเข้าเรื่องต่อ แล้วถ้าเราได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ เอง สิ่งที่จะตามมาคือ ผมมองว่าเมืองนั้นๆ จะมีทิศทางการพัฒนาในทุกๆ เรื่องที่ดีขึ้น ก็เพราะให้คนในพื้นที่เลือกคนในพื้นที่มาบริหาร ถ้าเอาคนแพร่มาบริหารเมืองน่าน มันจะเข้าใจคนที่เติบโตมาในพื้นที่นี้เชิงลึกได้ยังไง

หรือเอาคนเก่งมากๆ เกิดและเรียนจบต่างประเทศมาดูแลก็เท่านั้น เหมือนจะได้แค่แบบรับรู้ข้อมูลว่าภาพวาดปู่ม่านย่าม่านที่ผนังวัดภูมินทร์เป็นอย่างไร ใช้เทคนิคอะไร สร้างปีไหน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะสื่ออะไรกับเรา ลองไปฟังเสียงกระซิบสิครับ อาจจะบอกว่า ทำให้เมืองน่านพัฒนากว่านี้หน่อยให้สมกับที่ผลักดันให้เป็นเมืองมรดกเชิงสร้างสรรค์ของยูเนสโกหน่อย พูดเปรียบเทียบนะครับ ไม่ต้องทำจริง 

แล้วพอเมืองเล็กๆ มีความพัฒนาก็จะส่งผลต่อภาพรวมภูมิภาค และส่งต่อให้ทั้งประเทศในท้ายที่สุด แต่ตัวแทนที่มาบริหารประเทศภาพใหญ่อย่างคณะรัฐมนตรี นายกฯ ก็ต้องมีความสามารถด้วย ไม่ใช่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพเหมือนทุกวันนี้ อ่อ ลืมไปไม่ได้เลือกเอง เศร้า

สิ่งใดคือความเจ็บปวดจากความไม่เจริญในจังหวัดคุณ

ช่วงที่ผมถูกสัมภาษณ์อยู่กทม.พอดี มาทำงานโปรเจคระยะนึง สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ รู้สึกว่าคนกรุงเนี่ยสนใจประเด็นสังคมอย่างกว้างขวางมาก แต่จะเดินชนกันนะที่แยกราชประสงค์ แสดงว่า aware สังคมกันเยอะ แต่ไม่ aware กันเอง ซึ่งตรงข้ามกับเมืองน่านที่ aware ซึ่งกันและกันเยอะมาก วัดได้จากใครขยับตัวทำอะไร คนรู้ทั้งจังหวัด แต่ไม่สนใจข่าวตะวันแบมเลย

หรือ 2 ปีก่อนที่ผมทำศิลปะประท้วงอยู่เชียงใหม่แบบคุกรุ่นมาก ไม่รู้เลยว่าแกนนำจะโดนตำรวจจัดการอย่างไรบ้าง ตัดภาพมาที่น่าน ชายหญิง 2 คนกำลังเดินพะเน้าพะนอจูงมือกันไปกินหมูกระทะริมน้ำ ไม่ผิดครับแต่แกล้งๆ สนใจข่าวบ้านการเมืองซักนิดก็น่าคบหาหน่อย

แล้วการไม่ aware สังคมเนี่ย factor หลักๆ ผมว่ามาจากการที่ เมืองน่านยังไม่เจริญมากพอที่จะทำให้คนมีความ concern globoalization ทั้งทางการศึกษา เทคโนโลยี ศิลปะ การเท่าทันสื่อ เศรษฐกิจ สังคม เครื่องอุปโภคบริโภค ถนนหน้าวัดในกลางเมืองยังไม่เรียบเท่ากันอยู่แล้ว (เกิดอุบัติเหตุอาทิตย์ก่อน) ความหลากหลายของร้านค้า ที่ท่องเที่ยว รวมถึงรายได้ขั้นต่ำ ฯลฯ

คือไม่มีอะไรเจริญซักอย่างเลยครับ แล้วจะไม่มานั่งทบทวนกันจริงๆ หรอว่าทำยังไงดี หรือทำงานหาเงินไปตกเย็นกินเหล้าขาวกับแกงค์เพื่อน ตื่นมาทำงานต่อ ซื้อกาแฟแก้ง่วงกิน และก็รอความพัฒนาจากส่วนกลาง จากนายกต่างๆ ที่เราไมได้เลือกอีกอ่ะหรอครับ ไม่ต้องถามว่าเจ็บปวดมั้ย ถามว่ายังมีความรู้สึกกันอยู่มั้ยดีกว่า

อยากเห็นจังหวัดคุณ พัฒนาเรื่องใด

สิ่งหนึ่งที่จะช่วยเป็นตัวกลางทำให้คนไม่รู้ คนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง หรือคนไม่เปิดใจหันมาฟังเรา คือศิลปะ อาจจะเพราะผมจบสายนี้ด้วย ตลอดระยะเวลาที่เรียนจบมาเกือบ 10 ปี หากคนที่ติดตามเพจละคร Unidentified Theatre หรือรู้จักกับผมจะเห็นเลยว่า ผมออกมาสร้างงานศิลปะตลอดปีละ 1-2 งาน

ส่วนมากจะเขียนขอทุนจากต่างประเทศมาสร้างงานในไทย มีทั้งงานการแสดง ศิลปะการแสดงสด การเต้นและเสียงเพลง อีเวนต์อาร์ต เสวนาวิชาการ หรือออกไปยืนประท้วงที่เชียงใหม่ น่าน กรุงเทพฯ ผมว่าศิลปะมันมี Magic อะไรบางอย่างที่สามารถเรียกให้คนมาคุยในประเด็นที่ยากได้

หาทางออกได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่เปิดพื้นที่ตรงกลางออกมาได้ จริงๆ น่าจะเป็นเพราะการเปิดกว้างการตีความ วาทศิลป์ การไม่มีภาษา ไ่ม่มีแนวคิดที่ชอบเอาไปจำกัดคนอื่นตลอดเวลา ศิลปะได้คะแนนมาเต็งหนึ่งเสมอสำหรับผม สิ่งที่ผมอยากเห็นพัฒนามากที่สุดจึงหนีไม่พ้น ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ไล่ไปเลยตั้งแต่ หลักสูตรวิชาการด้านศิลปะ ครูบาอาจารย์ ทรัพยากร งานศิลปะทุกแขนง จิตรกรรม ดนตรี การรำไทย บัลเลต์ งานแสดงแสงสีเสียง

พิพิธภัณฑ์ แกลอรี ค่านิยมที่มีงานศิลปะ อาชีพศิลปิน การสนับสนุนจากส่วนกลาง การออกนโนบายจากภาครัฐ หรือแม้แต่ศิลปะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนตัวผมมองว่า ทุกเรื่องบนโลกเกี่ยวข้องกับศิลปะหมด ขนาดวีคก่อนผมเปิดเวิร์คภาษากับ Chat GPT ให้คนเมืองน่านฟรี ยังใช้สกิลด้านศิลปะมาช่วยหลายภาคส่วนมาก

ดังนั้นถ้าอยากให้พื้นที่ไหนเกิดการเปลี่ยนแปลง มีความเจริญก้าวหน้า ให้ลองโยนมันเข้าไป เหมือนที่ผมออกมาประท้วงเรื่องตะวันแบมที่ข่วงเมืองน่าน แล้วผู้ใหญ่หลายท่านให้ความเห็นว่า พวกผมมาย่ำยีหัวใจคนเมือง รับเงินคนชั่วมาปั่นป่วน ทำความความสงบสุขของเมืองที่รักสันติอย่างหลายทศวรรษอย่างเมืองน่าน ผมไม่โกรธเลย แต่กลับเอามาเป็นแรงผลักดันว่า สักวันต้องทำให้คนกลุ่มนี้หันมาเปิดใจ มีความพัฒนาด้านการเข้าใจโลก ศิลปะ และการเมืองไม่วันใดก็วันนึง

รู้หรือไมว่า ตอนนี้งบประมาณส่วนกลาง 70 ท้องถิ่น 30 แต่ในร่างเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ ท้องถิ่น 70 ส่วนกลาง 30 คุณคิดว่า ท้องถิ่นจะเจริญอย่างไร

10 ปีที่ผ่านมาเวลาสร้างงานอาร์ต ไม่เคยได้รับการสนับสนุกจากส่วนกลางหรือภาครัฐ เหล่าบรรดาท่อน้ำเลี้ยง คือคนทั่วไป องค์กรที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น ยุโรป ทุกประเทศทั่วโลก ยกเว้นไทย ทำไมชนชั้นการปกครองของไทยไม่เคยแยแส และยื่นมือมาช่วย

สามารถสรุปจบในประโยคเดียวคือ เขากลัวคนที่อยู่ใต้การปกครอง ฉลาด ตาสว่าง มีอำนาจมาคานพวกเขา ได้รับเงินมาเพิ่มอำนาจนั้น แต่เขาลืมคิดว่า โลกมันเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว เพดานมันถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว เหมือนวลีเด็ดจากกวีชื่อดังที่พูดไว้ว่า

You can cut all the flowers but you can’t keep Spring from coming.

การเลือกตั้งผู้ว่าฯ เอง กับการปรับงบให้ท้องถิ่น 70 ส่วนกลาง 30 จึงส่งผลมหาศาล มีแต่ข้อดีให้เราในฐานะคนตัวเล็กๆ คนนึงที่ไม่มีอำนาจใดเลยที่รัฐบาลเคยคิดจะมอบให้

การกระจายอำนาจ เกี่ยวกับการยกระดับงานศิลปะในพื้นที่ชุมชนยังไง ปัญหาทุกวันนี้เกี่ยวข้องกับการไม่กระจายอำนาจยังไง ทางออกคืออะไร

กลับไปอ่านตั้งแต่ข้อ 1-5 แล้วพวกคุณจะเข้าใจว่าคำตอบของผมสำหรับคำถามนี้เป็นอย่างไร

เสาร์ที่ 25 มีนาคมนี้ เขาได้รับการชักเชิญจากพื้นที่ทางศิลปะที่คอยสนับสนุนศิลปินทุกเพศ ทุกวัย ทุกยุคสมัย ทุกแขนงมายาวนานอย่าง Cartel Artspace ถนนนราธิวาส 22 แกลอรี่ย่านสาทร ใจกลางกรุง ให้มาแสดงงานร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ไฟกะพริบอย่าง เพชรนิล สุขจันทร์ และมิตรสหาย สรรค์สร้างงานโดย ธนธรณ์ ก้งเส้ง และพิชญ์สินี ชัยทวีธรรม

มาร่วมรำลึกถึงความทรงจำที่มีต่อการต่อสู้อำนาจเบื้องบนตั้งแต่ปี 2563 ที่งาน P.T.S.D

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/events/1434441380717121 หรือเพจ Cartel Artspace และเพจ Unidentified Theatre

Author

  • บรรณาธิการ The Voters อดีตบรรณาธิการ WAY MAGAZINE ยุคสิ่งพิมพ์ ผู้ตั้งแคมเปญรณรงค์ #เลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ และกระจายอำนาจ นักประพันธ์เจ้าของรวมเรื่องสั้น ฝนโปรยปรายใต้มงกุฎ

Leave a Reply

Your email address will not be published.