กัญชาเสรี เสรีแค่ไหน? คุยกับ อาร์นู นาเบอร์ ชาวดัตช์

ยังคงเป็นที่ถกเถียง หลังบ้านเราเปิดเสรีกัญชาว่าควรเสรีแค่ไหน เราสัมภาษณ์ อาร์นู นาเบอร์ ชาวดัตช์ว่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ว่ากันว่า เสรีกัญชาสุดๆ จริงหรือไม่ ขอเชิญเสพช้าๆ  

1
กัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ยังไม่ได้รับการทำให้เป็นเสรี แต่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ กัญชายังคงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลภายใต้เงื่อนไขบางประการ ในประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นการครอบครอง จำหน่าย หรือผลิตยาเสพติดถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

ยาเสพติดประเภทไม่รุนแรง (soft drug) ทำลายสุขภาพน้อยกว่ายาเสพติดประเภทที่ออกฤทธิ์รุนแรงนั้น ในเนเธอร์แลนด์ร้านกาแฟ (coffee shop) จึงได้รับอนุญาตให้จำหน่ายกัญชาได้ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด ร้านกาแฟเป็นสถานประกอบการที่จำหน่ายกัญชา แต่จะต้องไม่มีการจำหน่ายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ  นี่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผ่อนปรนของชาวดัตช์

การจำหน่ายยาเสพติดประเภทไม่รุนแรงในปริมาณน้อยในร้านกาแฟนั้นความจริงแล้วถือเป็นความผิดทางอาญา แต่เจ้าหน้าที่จะไม่ดำเนินคดีกับร้านกาแฟในความผิดนี้ และไม่ดำเนินคดีกับประชาชนในรัฐในข้อหามียาเสพติดให้โทษปริมาณน้อยไว้ในครอบครอง โดยปริมาณที่ยอมรับได้คือกัญชาไม่เกิน 5 กรัม (กัญชา หรือ แฮช) และต้นกัญชาไม่เกิน 5 ต้น อย่างที่กล่าวไปแล้ว กัญชายังคงถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ถูกลดทอนความเป็นอาชญากรรมภายใต้เงื่อนไขบางประการที่รัฐบาลยอมรับได้

ในทางสังคมแล้วผู้คนในเนเธอร์แลนด์ที่สูบกัญชายังมักถูกตัดสินว่าเป็นคนติดยาหรืออาชญากร คนส่วนใหญ่สูบกัญชากันที่บ้านหรือที่ร้านกาแฟ หรือเมื่อออกไปคลับหรือดิสโก้ สิ่งที่น่าสังเกตคือสังคมยอมรับได้แม้ว่าคุณจะดื่มและเมามายอย่างไร้สติ แต่เมื่อพูดถึงการสูบกัญชาคนทั่วไปยังมองว่ามันอันตราย และขั้นตอนที่จะนำไปสู่การเสพยาอย่างหนักนั้นทำได้ง่ายกว่า

ในประเทศเนเธอร์แลนด์ คุณสามารถซื้อกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป และซื้อได้ในปริมาณไม่เกิน 5 กรัมต่อวันต่อคน เมื่อผมอายุยังน้อยผมสามารถซื้อมันได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี เหมือนกับการซื้อเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่มากอย่างเบียร์ แต่รัฐบาลได้เปลี่ยนกำหนดเกณฑ์อายุที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อกัญชาได้เป็น 18 ปี ในปี  1996 และกำหนดเกณฑ์อายุสำหรับซื้อเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำในปี 2014

ประชาชนสามารถใช้กัญชาในที่สาธารณะภายนอกได้อย่างเสรีตามกฎหมาย แต่จาก 2 ใน 3 ของจำนวนทั้งสิ้น 352 ตำบลไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองแรกที่เริ่มต้นการใช้มาตรการอย่างเข้มงวดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และสร้างพื้นที่ห้ามสูบกัญชาเนื่องจากการสร้างความรำคาญและเสียงเรียกร้องของประชาชนให้จัดการในเรื่องนี้

ในปี 2006 เมืองใหญ่ก็ได้ติดป้ายสำหรับพื้นที่เหล่านี้โดยเฉพาะและประชาชนจะถูกปรับหากไม่ปฏิบัติตามกฎข้อห้ามนี้ หลังจากนั้นตำบลและเมืองอื่นๆ ก็ปฏิบัติตามเพื่อจัดการกับ นักท่องเที่ยวยาเสพติด ที่เดินทางไปเนเธอร์แลนด์และลักลอบนำกัญชาออกนอกประเทศ

นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2013 รัฐบาลใช้นโยบายหลักเกณฑ์ของผู้อยู่อาศัยในประเทศ โดยกำหนดให้คุณต้องเป็นชาวดัตช์ – ไม่ใช่นักท่องเที่ยว – จึงจะสามารถซื้อกัญชาได้ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้บังคับใช้กับร้านกาแฟทั่วประเทศและ 70-80% ของร้านค้ากำหนดใช้หลักเกณฑ์นี้เป็นนโยบายของร้านกาแฟ เช่น ในรอตเทอร์ดามและในมาสทริชท์ ในอัมสเตอร์ดัมเองก็กำลังพิจารณาที่จะใช้นโยบายนี้แต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก เนื่องจากมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักของร้านกาแฟกัญชาในอัมสเตอร์ดัม

การเริ่มใช้ประโยชน์จากกัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ในช่วงแรก คือการใช้ประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ โดยนำมาผลิตเชือก กระดาษ เส้นใย เสื้อผ้า และใบเรือเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1600 – 1800 ต่อมาจึงเริ่มใช้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ เช่น ใช้บรรเทาอาการปวดและอาการนอนไม่หลับ หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการใช้เพื่อความสุข ความเพลิดเพลินใจ แต่รัฐบาลตะวันตกลุกขึ้นต่อต้านยาเสพติดทุกรูปแบบเพราะประชากรจำนวนมากติดฝิ่นและมอร์ฟีน พวกเขายังไม่ติดกัญชามากนักเพราะไม่มีฤทธิ์รุนแรงเท่า อย่างไรก็ตามพวกเขาเริ่มนโยบายยาเสพติดเป็นศูนย์ (Zero Policy) ทั้งหมดในปี 1920

ในปี 1953 ได้มีการออกกฎหมายพิเศษ เพื่อทำให้การมีกัญชาไว้ในครอบครองหรือการปลูกกัญชานั้นถือว่าเป็นอาชญากรรมและมีบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดอย่างหนัก แต่ผู้คนยังคงสูบกัญชา และในช่วงปี 1970 ก็มีนโยบายที่อนุญาตให้ครอบครองได้สูงสุด 5 กรัม และปลูกได้สูงสุด 5 ต้นที่บ้านไว้เพื่อใช้ส่วนบุคคลได้ แต่ถึงกระนั้นตามกฎหมายก็ยังถือว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการจับกุมอีกต่อไปสำหรับการกระทำเหล่านี้ ในปี 1976 ร้านกาแฟแห่งแรกเปิดขึ้นในอัมสเตอร์ดัม และในปี 1979 มีการพิจารณาทางกฎหมายระหว่างยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์รุนแรงที่ยอมรับไม่ได้และยาเสพติดประเภทไม่รุนแรงที่ยอมรับได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการลดทอนโทษของการสูบกัญชาภายในขอบเขตที่รัฐกำหนด

รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการแบนกัญชาที่มีสาร THC สูง (คือตั้งแต่ 15% ขึ้นไป) พวกเขาต้องการให้กฎหมายกำหนดให้ถือเป็นยาเสพติดให้โทษรุนแรง (โคเคน สปีด เอ็กซ์ทีซี) และถือว่าเป็นยาเสพติดประเภทไม่รุนแรง (กัญชาและแฮช) อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตามสำหรับตอนนี้มันยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ  เพราะตามกฎหมายไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ปลูกหรือจัดหากัญชาให้เจ้าของร้านกาแฟ

ประชาชนในเนเธอร์แลนด์ก็ยังได้รับอนุญาตให้ครอบครองได้เพียง 5 กรัมเท่านั้น และปลูกได้สูงสุดเพียง 5 ต้นสำหรับใช้ส่วนตัว ดังนั้นไม่มีการควบคุมและการตรวจสอบเปอร์เซ็นต์ THC ในกัญชาที่ใช้ แต่ขณะนี้มีการทดลองดูว่าจะสามารถจัดหา ปลูก และตรวจสอบคุณภาพกัญชาให้กับเจ้าของร้านกาแฟได้หรือไม่ โดยเริ่มในปี 2021 และจะมีอายุ 4 ปี

2

ไม่รู้ว่าเป็นกระแสหรือเปล่า แต่ผมเห็นและได้ยินมามากมายเกี่ยวกับน้ำมัน CBD สำหรับใช้ในทางการแพทย์ ผมคิดว่าเป็นเพราะว่ามีเปอร์เซ็นต์ของ THC ต่ำ (เพียง 1-8%) ดังนั้นจึงปลอดภัยกว่าที่จะใช้มัน ในปี 2003 ในประเทศเนเธอร์แลนด์มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถได้รับกัญชาเป็นยารักษาโรคที่ร้านขายยาได้โดยต้องมีใบสั่งแพทย์ และนี่คือกัญชาที่ได้รับการควบคุมโดยเกษตรกรรายหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล (Perfect Pants) ซึ่งผ่านการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการและมีการป้องกันอย่างแน่นหนา

3

ข้อเสนอสำหรับประเทศไทยที่ผมมีคือ การเดินหน้าต่อไปและไม่หยุดนิ่งเหมือนที่เนเธอร์แลนด์ทำกับกัญชา ทำวิจัยต่อไปว่ามันมีผลอย่างไรต่อสมองในการพัฒนาของวัยรุ่น (อายุ 18-25 ปี) แต่การวิจัยและกฎหมายเดียวกันนี้นั้นก็ควรใช้กับแอลกอฮอล์ด้วยหากมีความจำเป็นในด้านสุขภาพ

อีกทั้งยังควรสร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกัญชาที่ผ่านการรับรอง เพื่อปลูกกัญชาที่ได้รับการควบคุมและทดสอบคุณภาพให้ปลอดภัยสำหรับทุกคน เพราะปัจจุบันในเนเธอร์แลนด์ร้านกาแฟบางแห่งจำหน่ายกัญชาด้วยเปอร์เซ็นต์ของ THC สูงถึง 67% และต่ำสุดที่พบคือ 0.4 % ตามการวิจัยจากสถาบันทริมบอส

ผมยังเชื่อว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับสาธารณชนในการรู้ว่ามันคืออะไร และสรรพคุณของมันนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งในฐานะยารักษาโรคและยาที่ใช้เพื่อความเพลิดเพลินใจ

เริ่มจากการศึกษาในโรงเรียนและการรณรงค์ให้คนทั่วไปเกิดการยอมรับในสังคมและสำคัญที่สุดคือเพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้มัน

.

ขอคนละ ‘1 ชื่อ’ ให้เกิน ‘5 หมื่น’ ตามกฎหมายกำหนด ชวนผู้มี ‘สิทธิ์เลือกตั้ง’ ลงชื่อในร่างเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ ที่ https://thevotersthai.com/support-us-signature/ เมื่อกดลิงค์เข้าไป กรุณากรอกให้ครบทั้ง 5 อย่าง ชื่อ-นามสกุล / เลขประจำตัวประชาชน / อีเมล / ติ๊กข้าพเจ้าขอรับรองความสมัครใจ / เซ็นชื่อ / เเละกดส่งชื่อ / ด้านล่างจะมีสรุปสาระสำคัญของร่าง และลิงค์ร่างฉบับเต็ม

Author

  • สาวกรุงเทพ ผู้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ภูเก็ต พยายามมีส่วนในการช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในประเทศนี้ด้วยการเป็นอาสาสมัคร NGO อยู่หลายปี ใฝ่ฝันว่าอยากจะเห็นภูเก็ตมีระบบขนส่งสาธารณะดีๆ และอยากเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดเองบ้าง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *