เอสโตเนีย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งอยู่ที่ติดกับ ทะเลบอลติก มีพรมแดนทางทิศใต้ติดกับประเทศลัตเวีย และทางทิศตะวันออกติดกับประเทศรัสเซีย อีกทั้งอ่าวฟินแลนด์ ใกล้กลุ่มประเทศสำคัญหลายประเทศ และ เอสโตเนียยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและน่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย
ในยุคสมัยที่ สหภาพโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่ครอบคลุมทวีปยุโรปและเอเชียตั้งแต่ ค.ศ. 1922 ที่เป็นหนึ่งในสหภาพโซเวียต ที่ถูกเรียกว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเอสโตเนีย ถูกผนวกเข้ากับสหภาพโซเวียตในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1940 อย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อมาดินแดนแห่งนี้ยังถูกเยอรมนีนาซีเข้ายึดครองระหว่างปี ค.ศ. 1941–1944 อีกด้วย จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1988 เอสโตเนียเป็นสาธารณรัฐแรกในเขตอิทธิพลโซเวียตที่ประกาศอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐจากรัฐบาลกลางที่กรุงมอสโก
หลังจากนั้น ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1990 สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเอสโตเนียถูกเปลี่ยนชื่อเป็น สาธารณรัฐเอสโตเนียนับว่าเป็นการประกาศเอกราช แต่เอสโตเนียก็ได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 และสหภาพโซเวียตเองก็รับรองว่าเอสโตเนียเป็นรัฐเอกราชในปีเดียวกัน
แม้ว่าในอดีตเอสโตเนียถูกครอบครองโดยหลายกลุ่มชาติมหาอำนาจ ทั้งสหภาพโซเวียตและนาซี แต่ความกระตืนรือร้นที่ต้องการออกจากกลิ่นอายคอมมิวนิสต์นั้นชัดเจน เพื่อสลัดภาพสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวออกไป
หลังจากเอสโตเนียได้รับเอกราชแล้ว เอสโตเนียได้เข้าร่วมกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือและสหภาพยุโรป และเริ่มต้นชาติด้วยการปกครองระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศมณฑลจำนวน 15 เทศมณฑล
แม้ว่าเอสโตเนียเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพียง 45,227 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากรทั้งหมดประมาณ 1.3 ล้านคน และคนในเมืองหลวง กรุงทาลลินน์ (Tallinn) มีเพียง 437,118 คน แต่ประสิทธิของการพัฒนานั้นล้ำหน้าอย่างก้าวกระโดดเป็นแบบอย่างต่อโลก
รัฐบาลใหม่ของเอสโตเนียมีเจตจำนงที่ตัดสินใจตัดทิ้งวิถีดั้งเดิมในยุคคอมมิวนิสต์ทั้งหมด ไม่คิดจะหันหลังกลับสู่กระจุกอำนาจเดียวอย่างที่เคยมีมา รัฐบาลใหม่มองเห็นว่าเอสโตเนียไม่อาจจะผลักดันให้ประเทศก้าวไปอย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้ายังมีวิถีการบริหารประเทศในแนวทางเดิมๆ
ดังนั้น ในปี 1997 เอสโตเนียจึงมุ่งเน้นไปที่การกระจายอำนาจที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างแท้จริงผ่านระบบดิจิทัล ที่ติดต่อเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งรัฐบาลเปิดตัวโครงการชื่อ Tiigrihüpe (Tiger Leap) ที่มุ่งลงทุนในการพัฒนาและขยายเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่เน้นสำหรับการเข้าถึงของประชาชนในชาติ แบบ e-Government นั้น ส่งผลดีต่อการศึกษาในประเทศได้ดี และรูปแบบการพัฒนาแบบ
รวบรวมข้อมูลและแบ่งปัน เป็นที่คาดหวังของส่วนกลางว่าทุกคนนั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลและเรียนรู้พัฒนาองค์ความรู้ไปได้พร้อมกับการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ด้วย
ความใส่ใจของเอสโตเนียที่มีต่อประชาชนที่เปิดพื้นที่สาธารณะที่จะเข้าถึงข้อมูลอย่างโปร่งใส จุดที่รัฐสร้างความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับจากประชาชนได้ อย่างสถิติการร่วมมือจากประชาชนในปี 2014 มีการใช้งานทางดิจิทัลด้วยการระบุตัวตนมากกว่า 80 ล้านครั้งจากประชาชนในภาคบริการส่วนต่างๆ จากภาคท้องถิ่นที่หลากหลาย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสิทธิมนุษยชนในยุคประชาธิปไตยสมัยใหม่
อีกครั้งที่เอสโตเนียไม่หยุดพัฒนาชาติ ในปี 2019 ส่วนกลางได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งออนไลน์ (I-VOTING) ผ่านระบบมือถือที่ปลอดภัย สามารถตรวจความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้มีผู้ร่วมสังเกตการณ์ ตรวจสอบได้เป็นประเทศแรกของโลกอีกด้วย
แนวทางการพัฒนาระบบดิจิตอลของเอสโตเนียเปิดทางให้ส่วนท้องถิ่นได้พัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นมาจากเจตนารมณ์เพื่อประชาธิปไตยสมัยใหม่อย่างชัดเจน ที่เร่งการปรับโครงสร้างให้เป็น e-Government ที่ทั้งรัฐส่วนกลางซึ่งสื่อสารกับส่วนท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน ตัดความยุ่งยากเรื่องวิธีการขั้นตอนที่ผ่านเอกสารและการมาติดต่อที่หน่วยงานหรือสำนักงาน ที่ช่วยลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและบริการในแต่ละพื้นที่
เมื่อระบบดิจิทัลถูกนำไปใช้ได้จริง ลดการปฎิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางและท้องถิ่นกับประชาชน ช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันของเอสโตเนียไปได้มากเรื่อยๆ จนเอสโตเนียติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่คอร์รัปชันน้อยที่สุดในโลก
“เอสโตเนียเป็นประเทศที่มีการทุจริตน้อยที่สุด ของดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index; CPI) ในลำดับที่ 13 จาก 180 ประเทศ ปี 2021 ที่รายงานโดย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ในขณะที่ประเทศไทย อยู่ลำดับที่ 110 ….”
เมื่อระบบดิจิทัลเข้าถึงทุกที่ ทำให้บริการเพื่อประชาชนจากรัฐสู่ท้องถิ่นนั้นได้กระจายออกจากพื้นที่ห่างไกลได้อย่างถูกทิศถูกทาง แก้ไขได้อย่างตรงจุด ไม่เสียเวลา ช่วยลดการตรวจสอบและประหยัดเวลาในการจัดทำเอกสารของเจ้าหน้าที่รัฐได้ เพราะเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับทางส่วนรัฐและเอกชนที่เรียกว่า x-road เป็นระบบออนไลน์ข้อมูลสาธารณะ
สิ่งสำคัญที่สุดที่เอสโตเนียทำ คือ การทำให้ประชาชนมีสิทธิและเข้าถึงการดำเนินการของรัฐได้ ประชาชน สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบริการต่างๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐได้ในทุกที่ ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เองก็ต้องชี้แจงถึงเหตุผล ทั้งการทำงานและการเข้าถึงข้อมูลนั้นให้ได้ด้วย เพราะหากประชาชนไม่พอใจก็สามารถร้องเรียนทางออนไลน์ได้ทันที
ยิ่งเอสโตเนียเปิดทางในประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นผ่านระบบดิจิทัล ยิ่งเพิ่มการตอบสนองและกระตุ้นการดำเนินการของส่วนท้องถิ่นได้กระจายอำนาจเพื่อการพัฒนาที่กว้างขวาง โปร่งใส มีประสิทธิภาพและเท่าเทียมกันในทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
–
อ้างอิง
Transparency International Estonia
Estonia is a ‘digital republic’ – what that means and why it may be everyone’s future
Estonia is the go-to example for a more decentralized architecture
e-Estonia: the ultimate digital democracy?
How Estonia’s reforms empowered local government
20 ปี ‘เอสโตเนีย’ ทำอย่างไร ให้เป็น ‘ประเทศพัฒนา’
Local Government Reform in Estonia
http://4liberty.eu/wp-content/uploads/2018/11/ARTO-AAS_LOCAL-GOVERNMENT-REFORM-IN-ESTONIA.pdf
Case Study 8: Estonia e-government and the creation of a comprehensive data infrastructure for public services and agriculture policies implementation