ระบอบรัฐสภาไทยที่มี 2 สภา และสมาชิกของพรรคการเมืองเสียงข้างมากเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลนั้นมีความล้าหลัง และพิสูจน์มาแล้วเป็นเวลา 80 ปี ว่า ล้มเหลว คือมีรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ มีการซื้อขายเสียงสูง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และ ส.ว.จำนวนมากไร้คุณสมบัติ ไร้คุณภาพ และไร้คุณธรรม มีการรัฐประหาร หรือพยายามก่อการรัฐประหาร กบฏ เฉลี่ยเกือบทุก 4 ปี (ประมาณ 20 ครั้ง) มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มาใช้ เฉลี่ยเกือบทุก 4 ปี (20 ฉบับ)
ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบธุรกิจการเมือง (Private interest led politics ตรงกันข้ามกับ public interest led politics) ระบอบประชาธิปไตยกลายพันธุ์เป็นระบอบประชาธิปไตยสามานย์ ระบบการเมืองกลายเป็นระบบพวกพ้องบริวาร (Cronyism) คณะรัฐมนตรี กลายเป็นบุฟเฟต์แคบิเนท ที่นักการเมืองเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน พรรคการเมืองกลายเป็นบริษัทส่วนตัวของนายทุนพรรค สมาชิกพรรคกลายลูกจ้างของบริษัท
มีข้อเสนอมากมายในการปฏิรูประบบการเมืองไทยแต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในกรอบคิดและทฤษฎีเดิมที่ล้าหลัง มีการเสนอแก้ไขทางเทคนิก หรือ แก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษเป็นด้านหลักมากกว่าการแก้ไขในด้านหลักการสำคัญ จึงเปรียบเสมือนกับการพายเรือในอ่าง ถ้าแก้ตามนี้อีกสัก 80 ปี การเมืองไทยก็คงไม่สามารถก้าวพ้นไปวัฏจักรชั่วร้ายไปได้
ระบอบรัฐสภาไทยได้ลอกเลียนแบบมาจากระบอบของประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่ให้อำนาจสภาแต่งตั้ง ถอดถอน รัฐบาล ซึ่งทำให้ระบบการเมืองในสภากลายเป็นสภาโจ๊ก หรือ สภาปาหี่ ที่ระบบการถ่วงดุลตามหลักการ ของระบอบ ประชาธิปไตย ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะรัฐบาลตั้งขึ้นมาด้วยเสียงข้างมากของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หรือการถอดถอนรัฐบาลจึงเป็นเรื่องปาหี่ เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลก็มีเสียงข้างมากกว่าอยู่ดี
บทเรียนและการปฏิรูปการเมืองของฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปี ค.ศ. 1946-1958 การเมืองฝรั่งเศสมีสภาวะไร้เสถียรภาพอย่างหนัก ในช่วงเวลา 13 ปี มีรัฐบาลมากถึง 25 ชุด คือ เฉลี่ยมีการเปลี่ยนรัฐบาลทุก 6 เดือน
ประธานาธิบดีเดอโกลด์ มองเห็นปัญหาของระบบการมอบอำนาจอธิปไตยให้กับรัฐสภา ซึ่งประชาชนเมื่อลงคะแนนเสียงไปแล้วก็หมดอำนาจที่จะควบคุมหรือใช้อำนาจอธิปไตยของตนตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยอีก จึงเสนอรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 1958 ปฏิรูปโครงสร้างการปกครองและแก้ไขระบบเลือกตั้งใหม่ โดยการคืนอำนาจอธิปไตยให้กับปวงชนโดยการให้ประชาชนเลือกฝ่ายบริหารโดยตรง ถ้าทำงานไม่ดี หรือ ฉ้อโกงก็ปลดได้ด้วยการไม่เลือกกลับเข้ามาอีกในสมัยหน้า
หลังจากการปฏิรูประบบการเลือกตั้งฝ่ายบริหารเป็นทางตรง การเมืองของฝรั่งเศสก็กลับเข้าสู่ยุคความมีเสถียรภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้าพ้นความหายนะจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงทุกวันนี้
เลือก ค.ร.ม.ทางตรง ตอบโจทย์การปฏิรูปการเมืองไทย
โจทย์ของระบบการเมืองสามานย์ของระบบรัฐสภาไทยที่ผ่านมาคือ การไม่แยกฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ อย่างเด็ดขาด การจัดตั้งรัฐบาลต้องได้เสียงข้างมากจากสภาผู้แทนราษฎร ระบบนี้ก่อให้เกิดการซื้อตัว ส.ส. และส.ว.ให้ลงคะแนนเสียงจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการให้ตำแหน่งรัฐมนตรีหัวหน้าพรรคเล็กพรรคน้อยเป็นการตอบแทน อันเป็นที่มาของระบบรัฐมนตรีเหมาเข่ง
รัฐมนตรีพี่น้อง ลูกหลาน (ที่มีการสืบทอดกันแล้วในหลายตระกูล) และบริวาร ที่ประชาชนไม่เคยรู้จักชื่อ หรือ ประวัติการทำงานมาก่อน หลายคนไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง ไม่มีความรู้ความสามารถในกระทรวงที่รับผิดชอบ หรือมีประวัติฉ้อโกง มีอาชีพสีเทา ติดคดี เข้ามาเป็นรัฐมนตรีฝักถั่วกันเป็นแถว ตัวนายกรัฐมนตรีก็สามารถชี้นิ้วเอาญาติโยมคนไหนมาเป็นก็ได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน
การฉ้อโกง การรับเงินใต้โต๊ะแบบบุฟเฟต์แคบิเนท กลายเป็นเรื่องปกติ ในการกินแบ่งโครงการที่ใช้เงินภาษี อากรของประชาชนใน ค.ร.ม. กันอย่างโจ๋งครึ่ม
มีการแต่งตั้งเพื่อตอบแทนอดีตข้าราชการที่เคยใช้อำนาจในตำแหน่งอย่างมิชอบให้ประโยชน์มากินตำแหน่งที่ปรึกษา หรือบอร์ดหน่วยงานของรัฐ บอร์ดรัฐวิสาหกิจ โดยกินเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชน
การปฏิรูปการเมืองไทยต้องสร้างระบบใหม่ที่การเข้าสู่อำนาจมาจากการเลือกตั้งทางตรงโดยประชาชน ทั้งประเทศ ด้วยการแก้ไขระบบการเลือกตั้งโดยกำหนดให้เลือกฝ่ายบริหารระดับสูงทั้งหมดทางตรง เป็นการคืนอำนาจอธิปไตยให้กับปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริงตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำหนดให้ ประชาชนเลือกนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีรายกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัดตลอดจนผู้กำกับการตำรวจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้กำกับการตำรวจท้องถิ่น ทางตรงด้วยกระบวนการเลือกตั้งที่เข้มข้นและตามกฎหมายที่เคร่งครัด
กำหนดให้ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง หรือเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง และมีวาระในการ ดำรงตำแหน่ง 4 ปี
กำหนดให้แต่ละพรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับการเลือกตั้งเป็นรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 3 คน
เมื่อฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งทางตรง รัฐสภาก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีสมาชิกมากมาย มากินเงินเดือน ภาษีอากรของประชาชนให้สิ้นเปลืองแบบระบบปัจจุบันอีกต่อไป
ดังนั้นการปฏิรูประบบการเลือกตั้งใหม่ต้องกำหนดให้มีสภาเดียว เลือกอย่างรวมเขต จังหวัดละ 2 คน ก็เพียงพอให้ทำหน้าที่นิติบัญญัติในการเสนอและปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของสภานิติบัญญัติ ตามระบอบประชาธิปไตย
ระบบการเลือกตั้งใหม่นี้เป็นการลดแรงจูงใจมาเฟียและนักธุรกิจการเมืองทั้งส่วนกลางและภูมิภาคในการเสนอตัวเข้ารับการเลือกเข้าสภา เพราะว่าเมื่อเข้ามาแล้ว ไม่มีหนทางถอนทุนเหมือนระบบเดิม ส.ส.ไม่สามารถขายตัวเพื่อถอนทุนอย่างเดิม เพราะตนเองไม่มีราคาแล้ว เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมาซื้อเสียง ส.ส.ในสภา เพื่อลงคะแนนสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลอย่างระบบเดิม การจะซื้อเสียงคนทั้งจังหวัดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินมหาศาล เมื่อเปรียบเทียบกับระบบ ปัจจุบันที่เลือกแบบแบ่งเขต สามารถใช้เงินซื้อเสียงเพียง 3-4 หมื่น คะแนนเสียงก็ได้เป็น ส.ส. แล้ว
ประเทศสามารถประหยัดงบประมาณเงินเดือนและค่าใช้จ่ายของส.ส.และส.ว.ได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท
ระบบการเลือกตั้งใหม่นี้เป็นการทำลายระบบพรรคพวกบริวาร (Cronyism) ที่ฉ้อฉลและซ่อนตัว อยู่ในร่างของพรรคการเมืองที่กัดกินบ่อนทำลายสังคมไทยมาเป็นเวลายาวนานจนเกินพอแล้ว
การเมืองไทยจะได้โปร่งใส โอกาสของพรรคการเมืองใหญ่ครอบงำการเมืองไทย โอกาสของนักธุรกิจการเมือง มาเฟียการเมืองจะเข้ามากินบ้านกินเมืองแบบระบบรัฐมนตรีเหมาเข่ง รัฐมนตรีพี่น้องบริวารเครือญาติที่ประชาชนไม่เคยรู้จักชื่อ ไม่เคยมีประวัติการทำงานมาก่อน หลายคนไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง ไม่มีความรู้ความสามารถในกระทรวงที่รับผิดชอบ หรือ มีประวัติฉ้อโกง ติดคดี เข้ามาเป็นรัฐมนตรีฝักถั่วกันเป็นแถว ตัวนายกรัฐมนตรีก็สามารถชี้นิ้วเอาญาติโยมคนไหนมาเป็นก็ได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน ก็จะเกิดขึ้นยาก หรือไม่มีโอกาส
ในระบบการเมืองเก่านักธุรกิจการเมืองที่บริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองสัก 2-500 ล้านบาท ก็สามารถต่อรอง ขอตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งแล้วแต่จำนวนเงินที่บริจาค ถ้าบริจาคมากก็ได้กระทรวงใหญ่ ที่สามารถถอนทุนได้ง่าย
แต่ในระบบใหม่ หากต้องการซื้อเสียงเพื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องได้คะแนนเสียงจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ ลงคะแนนเสียง ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านเสียง ถ้าจ่ายหัวละ 300 บาท ก็ต้องใช้เงินซื้อมากถึง 6,000 ล้านบาท โดยไม่มีหลักประกันว่าจะได้ ซึ่งคงหานักธุรกิจการเมืองคนไหนที่ยอมเสี่ยงได้ไม่มากนัก อาจมีหลงเข้ามาสัก 2-3 คน แต่ไม่สามารถเข้ามาโกงกินบ้านเมืองแบบกินรวบ กินเหมาเข่งแบบเดิมได้อีก
การเมืองก็จะค่อยๆ โปร่งใส รัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพ คนดีๆ ที่มีคุณธรรม เคยสร้างชื่อเสียงหรือมีผลงานที่ สังคมยอมรับก็จะมีโอกาสสมัครและได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐมนตรี และร่วมสร้างชาติให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม และมีความผาสุกอย่างทั่วถ้วนหน้า
ข้อเสนอการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงซึ่งเป็นสิ่่งใหม่และท้าทายตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ระบบใหม่การซื้อเสียงทำไม่ได้ เพราะว่าระบบไม่อำนวยแบบวิธีการเลือกตั้งที่มีระบบปาร์ตี้ลิสต์ (ยี้) ประชาชนถูกมัดมือชกให้จำยอมรับคณะรัฐมนตรี ที่มีประวัติเคยฉ้อโกง ทำผิดกฎหมาย ค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติด รังแกประชาชน ขาดความสามารถ ไร้ประสบการณ์ ฯลฯ
การเมืองก็จะค่อยๆ โปร่งใส รัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพ คนดีๆ ที่มีคุณธรรม เคยสร้างชื่อเสียงหรือมีผล
งานที่สังคมยอมรับก็จะมีโอกาสสมัครและได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐมนตรี และร่วมสร้างชาติให้ประชาชน ได้รับความเป็นธรรมและมีความผาสุกอย่างทั่วถ้วนหน้า
การแก้ปัญหาการคอรัปชันและนักการเมืองน้ำเลวที่พลัดหลงเข้ามาต้องแยกออกจากกัน ก่อนอื่นเราต้องสร้าง ระบบให้ซื้อเสียงได้ยาก และไม่คุ้มที่จะซื้อให้ได้ก่อน มีกฎหมายกำกับลงโทษทางอาญาต่างหาก มีบทลงโทษ ผู้ขายเสียงด้วย ทั้งปรับอย่างหนัก และห้ามใช้สิทธิ์อย่างน้อย 2 สมัย เป็นต้น
มีกฎหมายยึดทรัพย์ปราบคอรัปชันแบบอเมริกาอีกต่างหาก การควบคุมนักการเมืองเลว (ฝ่ายบริหาร) นั้นต้องมีการปฏิรูปกฎหมายอาญาควบคู่กันไปด้วย โดยใช้กฎหมายมาควบคุม ไม่มีการคุ้มครองในระหว่างดำรงตำแหน่ง เมื่อต้องโทษก็ต้องไม่มีการรอลงอาญา เมื่อคอรัปชัน ก็ต้องถูกยึดแบบระบบอเมริกัน
การถ่วงดุลในสภาแบบปัจจุบันเป็นระบบ ปาหี่ หรือ ละครน้ำเน่า เพราะรัฐบาลแต่งตั้งโดยสภา (พรรคพวก) คือสมาชิกของพรรครัฐบาล ดังนั้น เมื่อมีการตรวจสอบ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงคะแนนเสียง รัฐบาลก็จะชนะทุกครั้ง จึงต้องเลิกระบบเก่าและสร้างระบบใหม่ขึ้นมาแทน แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ในช่วงแรกๆ เพราะมีปัญหาที่ต้องคิดต่อ ต้องออกกฎหมายอีกหลายฉบับมารองรับ ต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่
เมื่อฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งทางตรง ประชาชนสามารถปลดได้หากไม่บริหารงานตามนโยบาย ที่แถลงโดยการไม่เลือกกลับเข้ามาใหม่เมื่ออยู่ครบวาระ หากคอรัปชันก็ถูกตรวจสอบด้วยกฎหมายของ ปปช. การตรวจสอบในสภาจึงไม่จำเป็น ดังนั้นการกำหนดให้มีสภาเดียว และมีเพียงจังหวัดละ 2 คนเพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติโดยแยกอำนาจออกจากการเข้าไปก้าวก่ายฝ่ายบริหารอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น การมีสภาเดียวก็เพียงพอแล้ว
ระบบถ่วงดุลแบบใหม่นี้ คือสภาทำหน้าที่ตรวจสอบและติดตามนโยบายของฝ่ายบริหาร ระบบนี้คล้ายระบบการบริหารของภาคเอกชน ในทุกวันนี้ที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าระบบราชการ คือบอร์ดของบริษัท รวมทั้งหน่วยงานของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ เป็นผู้ตรวจสอบและติดตามนโยบาย CEO บอร์ดเป็นผู้ควบคุม ให้เป็นไปตามนโยบายนั้น
ระบบถ่วงดุลแบบใหม่คือ สภาจะเป็นผู้ควบคุมฝ่ายบริหารให้บริหารงานตามนโยบายเท่านั้น
.
ขอคนละ ‘1 ชื่อ’ ให้เกิน ‘5 หมื่น’ ตามกฎหมายกำหนด ชวนผู้มี ‘สิทธิ์เลือกตั้ง’ ลงชื่อในร่างเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ ที่ https://thevotersthai.com/support-us-signature/ เมื่อกดลิงค์เข้าไป กรุณากรอกให้ครบทั้ง 5 อย่าง ชื่อ-นามสกุล / เลขประจำตัวประชาชน / อีเมล / ติ๊กข้าพเจ้าขอรับรองความสมัครใจ / เซ็นชื่อ / เเละกดส่งชื่อ / ด้านล่างจะมีสรุปสาระสำคัญของร่าง และลิงค์ร่างฉบับเต็ม