ทำไมต้องเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ

𝟎𝟏 แค่กระแสชัชชาติหรือเปล่า การเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลัง ‘พฤษภาปี 2535’ การรณรงค์ของเราและประชาชนที่ลงชื่อ ปฏิเสธมิได้ว่า ความสามารถและกระตือรือร้นของชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. ส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมการเรียกร้องต้องการให้เกิดการเลือกผู้ว่าฯ ของคนทุกจังหวัด 𝟎𝟐 ทับซ้อนกับ อบจ.หรือไม่ หากเราพูดถึงการกระจายอำนาจ การเลือกผู้ว่าฯ ราชการจังหวัด หรือผู้นำสูงสุดของจังหวัด เป็นการพูดกันมากว่า 30 ปีแล้วดังข้อที่ 1 มีการรณรงค์ซึ่งทำสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ต้องรอรัฐธรรมนูญ ปี 40 และพระราชบัญญัติขั้นตอนกระจายอำนาจ ปี 42 เกิดการเลือก นายก อบจ. นายกเทศมนตรี นายก อบต. โดยมีเจตนารมณ์ห้วงนั้นคือ ต้องให้อิสระ อำนาจหน้าที่ ถ่ายโอนภารกิจที่เคยเป็นของส่วนกลางไปไว้ที่ท้องถิ่น ให้ความเป็นอิสระทางงบประมาณการเงิน บุคลากร ส่วนกลางทำแต่เพียงกำกับดูเแล ไม่ใช่บังคับบัญชา ‘อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล’ เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวในวงเสวนาหลายวงว่า เราเดินเส้นทางนี้มาเรื่อยๆ ครั้นผ่าน 30 ปี ‘กลับไปไม่ถึงไหน’ การรัฐประหารทั้งปี

เชียงใหม่แห่ไม้ก้ำ จงสมปรารถนา เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ  

วันที่ 24 มิถุนายน 2475 วันที่คณะราษฎรปฏิวัติให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย ในวันเดียวกันปี 2566 คณะก่อการล้านนาใหม่ ก็ประกาศกร้าวขึ้นอีกครั้ง แห่ไม้ก้ำ ค้ำจุนประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ปักหมุดกระจายอำนาจ และรัฐสวัสดิการต้องถ้วนหน้า แห่ไม้ก้ำ เป็นประเพณีล้านนาเดิมที่ประชาชนจะเอาไม้ง่ามไปค้ำที่ต้นโพธิ์ในวัดต่างๆ เพื่อสื่อสารถึงการค้ำจุนศาสนาพุทธ แต่ในครั้งนี้แห่ไม้ก้ำได้นำมาใช้อีกครั้ง เพื่อค้ำจุนประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า เกิดการกระจายอำนาจ ให้อำนาจเป็นของประชาชน โดยต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ไม่เอาผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้งของรัฐส่วนกลาง และมีรัฐสวัสดิการเพื่อให้รัฐไม่ใช้อำนาจในทางอื่นใดนอกจากรับใช้ประชาชน นอกจากกิจกรรมแห่ไม่ก้ำประชาธิปไตย ปักหมุดหมายกระจายอำนาจ ในวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ยังมี เสวนา-รัฐธรรมนูญ-กระจายอำนาจ จัดที่โรงแรม iBis Style เชียงใหม่ โดยคณะก่อการล้านนาใหม่  มช.ขอย้าย โดยการเสวนา ถูกประกาศขอให้ย้ายสถานที่ เนื่องจากคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้เหตุผลว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หนึ่งในวิทยากรขึ้นพูด รวมถึงเนื้อหาในงาน ทำให้เกิดความกังวลเกรงว่าเสวนานี้จะเป็นการเผยแพร่แนวคิดแบ่งแยกดินแดน และสร้างความขัดแย้งในสังคมได้ โดยทางคณะนิติศาสตร์จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าสถานที่ให้ เสวนา-รัฐธรรมนูญ-กระจายอำนาจ วันที่ 23 มิถุนายน 2566 ณ

โลกขยับ-อาเซียนนิ่ง ท่าทีล่าสุดต่อความเหี้ยมใน เมียนมาร์

สถานการณ์ความไม่สงบของเมียนมาร์นับตั้งแต่มีการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 มาจนถึงขณะนี้ยังคงได้รับความสนใจจากทั่วโลก แม้ว่าความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวเมียนมาร์ยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้ายมาเป็นเวลาแรมปี และนักสังเกตการณ์หลายฝ่ายต่างตั้งข้อสังเกตว่าการกดดันจากนานาชาติ ยังไม่ส่งแรงขยับอย่างเพียงพอต่อรัฐบาลคณะรัฐประหาร มินอ่อง ลาย อย่างไรก็ตาม ก้าวเล็กๆ แต่สำคัญจากที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (Myanmar: UN Security Council resolution a small but important step in addressing human rights crisis) ในสัปดาห์นี้เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุมสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง มีมติให้รัฐบาลคณะรัฐประหารเมียนมาร์ยุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนและยุติการควบคุมประชาชนตามอำเภอใจโดยทันที นับเป็นการรับรองมติครั้งแรกในประวัติศาสตร์รอบ 74 ปี องค์การแอมเนสตี้สากล ระบุว่า มตินี้แม้จะไม่ได้กำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรมซึ่งจะสามารถส่งผลต่อสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาร์ได้ เช่น มาตรการห้ามการค้าอาวุธอย่างครอบคลุม การลงโทษต่อผู้นำกองทัพเมียนมาร์ที่ต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมไปถึงการยื่นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยในเมียนมาร์ต่อศาลโลกที่กรุงเฮก เป็นต้น[1] มติดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหารผ่านไปนานเกือบ 2 ปี แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีในการเริ่มคลี่คลายและกดดันรัฐบาลคณะรัฐประหารเมียนมาร์ โดยสถานการณ์ตลอด 20 เดือนที่ผ่านมา รายงานชิ้นเดิมระบุว่า มีผู้คนชาวเมียนมาร์กว่า 1,400,000 คน ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ กว่า

อิสระทางการเงินส่งเสริมการกระจายอำนาจในท้องถิ่นอิตาลี

เมื่อกล่าวถึงประเทศอิตาลีเเล้วหลายคนมักนึกถึงอาหาร วัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว และวิถีชีวิตของชาวอิตาลีเป็นส่วนมาก แต่ด้วยกรุงโรมซึ่งเป็นเมืองหลวงของอิตาลีนั้นเคยเป็นใจกลางจักรวรรดิโรมันที่ได้สร้างรากฐานวิทยาการต่างๆ รวมถึงกฎหมาย และมีการปกครองแบบรวมอำนาจ ก่อนที่เมืองหลวงนั้นถูกย้ายเป็นกรุงโรมใหม่ภายใต้ชื่อ คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช ผู้เทความเชื่อและศรัทธาในพระเยซูคริสต์ หลังจากนั้นพื้นที่แห่งนี้นั้นได้ถูกกลุ่มชาติอื่นเข้าปกครองและเข้าแทรกแซงหลายต่อหลายครั้งแบบรวมอำนาจไว้ที่จุดศูนย์กลาง จากปฎิวัติฝรั่งเศส การปกครองสมัยนโปเลียน ระบบฟาสซิสต์ และพิษสงครามจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 กว่าจะมาถึงคำว่า ประชาธิปไตย ได้ หลังจากการได้รับอิสระเสรีภาพนั้น  อิตาลีไม่ต่างจากประเทศเกิดใหม่ ที่ต้องปรับแนวทางการเมืองในรูปแบบประชาธิปไตยไปอย่างช้าๆ ส่งผลต่อการกระจายอำนาจในอิตาลีมากพอตัว จนกระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กระบวนการถ่ายโอนอำนาจและอำนาจในการตัดสินใจของส่วนกลางไปยังส่วนท้องถิ่นนั้นได้เริ่มขึ้น ในปี 1948 ที่อิตาลีได้มีรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ซึ่งกำหนดหลักการของการสนับสนุนจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น อีกทั้งได้มีการกำหนดให้ส่วนท้องถิ่นมีส่วนรับผิดชอบนโยบายสวัสดิการและประโยชน์ต่อประชาชนในด้านต่างๆ ตั้งแต่นั้นมา การกระจายอำนาจในอิตาลีได้พัฒนาและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในส่วนท้องถิ่น เช่น การปฏิรูปการบริหารส่วนท้องถิ่นในปี 1970 ที่นำไปสู่ การแบ่งพื้นที่การดูแลระดับการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 แคว้น แบ่งเป็นแคว้น 15 แคว้น และแคว้นปกครองตนเอง 5 แคว้น ทั้งนี้ส่วนกลางได้ให้ความเป็นอิสระในการบริหารและรับผิดชอบด้านนโยบายต่างๆ รวมถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การศึกษา และมีหน้าที่รับผิดชอบในการให้บริการสาธารณะในท้องถิ่น เช่น

กัญชาเสรี เสรีแค่ไหน? คุยกับ อาร์นู นาเบอร์ ชาวดัตช์

ยังคงเป็นที่ถกเถียง หลังบ้านเราเปิดเสรีกัญชาว่าควรเสรีแค่ไหน เราสัมภาษณ์ อาร์นู นาเบอร์ ชาวดัตช์ว่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ว่ากันว่า เสรีกัญชาสุดๆ จริงหรือไม่ ขอเชิญเสพช้าๆ   1กัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ยังไม่ได้รับการทำให้เป็นเสรี แต่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ กัญชายังคงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลภายใต้เงื่อนไขบางประการ ในประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นการครอบครอง จำหน่าย หรือผลิตยาเสพติดถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ยาเสพติดประเภทไม่รุนแรง (soft drug) ทำลายสุขภาพน้อยกว่ายาเสพติดประเภทที่ออกฤทธิ์รุนแรงนั้น ในเนเธอร์แลนด์ร้านกาแฟ (coffee shop) จึงได้รับอนุญาตให้จำหน่ายกัญชาได้ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด ร้านกาแฟเป็นสถานประกอบการที่จำหน่ายกัญชา แต่จะต้องไม่มีการจำหน่ายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ  นี่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผ่อนปรนของชาวดัตช์ การจำหน่ายยาเสพติดประเภทไม่รุนแรงในปริมาณน้อยในร้านกาแฟนั้นความจริงแล้วถือเป็นความผิดทางอาญา แต่เจ้าหน้าที่จะไม่ดำเนินคดีกับร้านกาแฟในความผิดนี้ และไม่ดำเนินคดีกับประชาชนในรัฐในข้อหามียาเสพติดให้โทษปริมาณน้อยไว้ในครอบครอง โดยปริมาณที่ยอมรับได้คือกัญชาไม่เกิน 5 กรัม (กัญชา หรือ แฮช) และต้นกัญชาไม่เกิน 5 ต้น อย่างที่กล่าวไปแล้ว กัญชายังคงถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ถูกลดทอนความเป็นอาชญากรรมภายใต้เงื่อนไขบางประการที่รัฐบาลยอมรับได้ ในทางสังคมแล้วผู้คนในเนเธอร์แลนด์ที่สูบกัญชายังมักถูกตัดสินว่าเป็นคนติดยาหรืออาชญากร คนส่วนใหญ่สูบกัญชากันที่บ้านหรือที่ร้านกาแฟ หรือเมื่อออกไปคลับหรือดิสโก้ สิ่งที่น่าสังเกตคือสังคมยอมรับได้แม้ว่าคุณจะดื่มและเมามายอย่างไร้สติ แต่เมื่อพูดถึงการสูบกัญชาคนทั่วไปยังมองว่ามันอันตราย และขั้นตอนที่จะนำไปสู่การเสพยาอย่างหนักนั้นทำได้ง่ายกว่า ในประเทศเนเธอร์แลนด์ คุณสามารถซื้อกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป

การแก้ไขปัญหาคอรัปชันอย่างจริงจังคือจุดเปลี่ยนของประเทศจอร์เจีย

นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่ปกครองรัฐต่างๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการและมีการประกาศเอกราชของ 15 สาธารณรัฐ หนึ่งในนั้นคือ จอร์เจีย จอร์เจียเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี มีเมืองหลวงที่ชื่อว่า กรุงทบิลิซิ (Tbilisi) ประเทศนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามใกล้แม่น้ำ Mtkvari มีอาณาเขตของประเทศในทิศต่างๆ ทะเลดำ (Black Sea)  ประเทศตุรกี (Turkey) อาร์เมเนีย (Armenia) อาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan) และรัสเซีย (Russia)  แม้ว่าในหลายศตวรรษที่จอร์เจียถูกปกครองโดยชนชาติต่างๆ รวมถึงการที่ผนวกจอร์เจียเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่จอร์เจียยังคงความเป็นเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่าง 2 ทวีปไว้ได้อย่างลงตัวและที่ถูกเรียกว่า ประเทศ 2 ทวีป​ (ทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป) จอร์เจียเปรียบเสมือนเป็นสะพานเชื่อมการค้าระหว่างยุโรปและเอเชียอีกด้วย แต่เมื่อปี 1991 จอร์เจียได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต และปกครองโดยระบอบประธานาธิบดี เป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาล (ดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี) ผ่านการเลือกตั้ง และนายกรัฐมนตรีของประเทศแบ่งกันดูแลจอร์เจีย พอหลังจากจอร์เจียเริ่มการปกครองตนเอง ต้องพบกับปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งปัญหาคนพลัดถิ่น และปัญหาอื่นๆ ที่กลายเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการการเมืองท้องถิ่นในประเทศ ดูเหมือนว่าอุปสรรคในการพัฒนาประเทศนั้นมีมากกว่านั้น อุปสรรคที่หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยพบคือ คอร์รัปชัน ในช่วงเวลานั้นจอร์เจียเป็นที่เลื่องลือในเรื่องคอร์รัปชันในการบริหารและจัดการประเทศโดยเฉพาะในกองตำรวจ

แข้งพลัดถิ่นโมร็อกโก: ฉากหลังแห่งเทพนิยายโซโลมอน

ทีมฟุตบอลประเทศโมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นชาติจากทวีปแอฟริกาแรกที่ผ่านเข้ารอบตัดเชือก หรือรอบ 4 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยเมื่อคืนวันเสาร์ นับตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นต้นมา และตั้งแต่ปี 1986 ที่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีม ก่อนพลิกล็อกคว่ำทีมเต็งอีกทีมอย่าง กระทิงดุ สเปน ด้วยการดวลลูกจุดโทษ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022 ครั้งนี้ พวกเขาเสียประตูเพียงแค่ 1 ลูก และเป็นการเสียด้วยการทำเข้าประตูตนเองอีกด้วย โดยยิงคู่แข่งไป 5 ลูก แต่นั่นก็เพียงพอต่อการเข้าถึงรอบตัดเชือก จนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นทีมที่มีเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งของโลกไปแล้ว ท่ามกลางกองเชียร์ชาวโมร็อกโกที่ประเมินกันว่ามีไม่ต่ำกว่า 15,000 คนที่กาตาร์ ซึ่งพร้อมจะตีกลองดาบูก้าและเป่านกหวีดส่งใจไปสู่นักฟุตบอลในสนามตลอดจนกว่าเสียงนกหวีดจากกรรมการจะหยุดเกม  นักสังเกตการณ์หลายคนกล่าวชื่นชมโดยนำไปเปรียบเทียบกับทีมชาติอิตาลี ซึ่งความแชมป์โลกในปี 2006 โดยในครั้งนั้นขุนพลอัสซูรีเสียประตูตลอดทัวร์นาเมนท์เพียงแค่ 2 ลูก การแข่งขันซึ่งเหลืออีกเพียง 2 นัดสำหรับเหล่านักฟุตบอลโมร็อกโก ไม่ว่าเทพนิยายครั้งนี้จะถูกเขียนให้ตอนจบลงเอยอย่างไร แต่พวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านฟุตบอลจากภูมิภาคที่ยากแค้นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว สายเลือดโมร็อกกันพลัดถิ่น  แสงของความสำเร็จของอดีตประเทศอาณานิคมฝรั่งเศส เริ่มส่องประกายชัดขึ้น หลังจากในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะทีมเต็งสองของรายการอย่างเบลเยี่ยม ด้วยผลสกอร์ 2-0 Achraf Hakimi ฟูลแบ็กจากสโมสรปารีส แซงแชร์แมง หนึ่งในผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นคนหนึ่งวิ่งตรงไปหาแม่ของเขา ที่นั่งเชียร์อยู่บนอัฒจรรย์ ก่อนจะสวมกอดแม่

เมื่อระบบดิจิทัลของเอสโตเนียเปิดทางให้ส่วนท้องถิ่นได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว

เอสโตเนีย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งอยู่ที่ติดกับ ทะเลบอลติก มีพรมแดนทางทิศใต้ติดกับประเทศลัตเวีย และทางทิศตะวันออกติดกับประเทศรัสเซีย อีกทั้งอ่าวฟินแลนด์ ใกล้กลุ่มประเทศสำคัญหลายประเทศ และ เอสโตเนียยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและน่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย ในยุคสมัยที่ สหภาพโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่ครอบคลุมทวีปยุโรปและเอเชียตั้งแต่ ค.ศ. 1922 ที่เป็นหนึ่งในสหภาพโซเวียต ที่ถูกเรียกว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเอสโตเนีย ถูกผนวกเข้ากับสหภาพโซเวียตในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1940 อย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อมาดินแดนแห่งนี้ยังถูกเยอรมนีนาซีเข้ายึดครองระหว่างปี ค.ศ. 1941–1944 อีกด้วย จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1988 เอสโตเนียเป็นสาธารณรัฐแรกในเขตอิทธิพลโซเวียตที่ประกาศอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐจากรัฐบาลกลางที่กรุงมอสโก หลังจากนั้น ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1990 สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเอสโตเนียถูกเปลี่ยนชื่อเป็น สาธารณรัฐเอสโตเนียนับว่าเป็นการประกาศเอกราช แต่เอสโตเนียก็ได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1991 และสหภาพโซเวียตเองก็รับรองว่าเอสโตเนียเป็นรัฐเอกราชในปีเดียวกัน แม้ว่าในอดีตเอสโตเนียถูกครอบครองโดยหลายกลุ่มชาติมหาอำนาจ ทั้งสหภาพโซเวียตและนาซี แต่ความกระตืนรือร้นที่ต้องการออกจากกลิ่นอายคอมมิวนิสต์นั้นชัดเจน เพื่อสลัดภาพสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวออกไป หลังจากเอสโตเนียได้รับเอกราชแล้ว เอสโตเนียได้เข้าร่วมกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือและสหภาพยุโรป และเริ่มต้นชาติด้วยการปกครองระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศมณฑลจำนวน 15

ปลดล็อกท้องถิ่นมอบอำนาจให้แก่เจ้าของอธิปไตย

การนำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 256 ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 โดย คณะก้าวหน้า และ ประชาชน จำนวนกว่า 80,000 คน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งในการอภิปราย เหตุผลสำคัญที่ผู้เสนอร่างฯ นำเสนอ มีเรื่องหลักๆ อยู่ 4-5 ประเด็นดังนี้ 1. ภารกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ที่การปกครองส่วนกลาง 2.การถ่ายโอนภารกิจให้แก่ท้องถิ่นไม่มีสภาพบังคับ 3. องค์กรที่มีอำนาจตรวจสอบมีแนวโน้มตีความจำกัดอำนาจส่วนท้องถิ่น 4. การดำเนินงานท้องถิ่นเป็นไปอย่างยากลำบากทั้งในด้านอำนาจหน้าที่ การบริหารจัดการ และ 5. งบประมาณที่จำกัดของท้องถิ่นอันมาจากข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีและจัดการเงินอุดหนุน เป็นต้น ตลอด 90 ปี นับตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นมา เราคงต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ให้อำนาจแก่รากฐานของการเมืองการปกครองไทย นั่นคือการปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่ในทางทฤษฎีต่างยอมรับกันว่า ประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศคือรากฐานสำคัญของการเมืองที่ดี ขณะทางปฏิบัติ การเข้าใกล้สู่การกระจายอำนาจสู่การปกรองส่วนท้องถิ่นมากที่สุดในรัฐธรรมนูญ 2540 ส่งผลอย่างสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย แม้ว่าจะมีข้อกังวลไม่น้อยต่อการกระจายอำนาจเมื่อ 20 ปีกว่าปีที่ผ่านมา แต่ข้อเท็จจริงคือมีงานวิชาการจำนวนมากยอมรับว่า กระจายอำนาจแม้จะยังทำได้ไม่เต็มสรรพกำลัง แต่ได้ผลิดอกออกผล ส่งเสริมการพัฒนาในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง

การกระจายอำนาจช่วยทลายกำแพงที่ปิดกั้นการเข้าถึงการศึกษาในอินเดียได้อย่างไร

ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID 19 นั้น หลายประเทศต้องประสบกับปัญหาหลายด้าน รวมไปถึงด้านการศึกษา โรงเรียนต้องปิดตัวลงเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค โดยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนมาเรียนออนไลน์ หลายประเทศนี่อาจเป็นการปรับตัวที่ไม่ยากจนเกินไป เพราะประชากรมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี และการเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับความท้ายทายครั้งใหญ่ในการปรับตัวนี้ และกลายเป็นวิกฤตของประเทศเมื่อมีเด็กมากมายหลุดออกจากระบบการศึกษาเนื่องจากขาดความพร้อมในการรองรับโลกของการเรียนออนไลน์ โดยเฉพาะประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำและยากจน ประชาชนในบางพื้นที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการศึกษาแบบใหม่นี้ รวมถึงบุคลากรการศึกษาก็ไม่สามารถปรับตัวได้เมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ประเทศอินเดียเองเป็นหนึ่งประเทศที่ประสบปัญหาด้านการเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาของประชาชนมาช้านาน เป็นที่ทราบกันดีว่าอินเดียเดียเป็นประเทศที่ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนอย่างยิ่ง ด้วยประชากรจำนวนมากมายมหาศาลและความหลากหลายของประชากร ทั้งในแง่ของสังคมศาสตร์และภูมิศาสตร์ แม้จะมีความพยายามมายาวนานในการลดช่องว่างเหล่านี้ลง ด้วยนโยบายของหลายรัฐบาลมาตลอดยาวนาน ถึงอย่างนั้นอินเดียก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะการพัฒนาในด้านการศึกษา อัตราการรู้หนังสือในประเทศอินเดียนับเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าจะมีโครงการจากรัฐบาลต่าง ๆ แต่อัตราการรู้หนังสือในประเทศอินเดียนั้นถือว่าเพิ่มขึ้นแค่เพียง น้อยนิด เท่านั้น จากการสำรวจโดยกระทรวงพัฒนาเด็กและสตรีอินเดีย พบว่า ประชากรชาวอินเดียในปี ค.ศ. 2020 มีทั้งหมด 1.39 พันล้านคน แต่วัยรุ่นกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศอินเดีย ไม่สามารถจบการศึกษาระดับมัธยมได้ ขณะที่นักเรียนจำนวนกว่า 20 ล้านคน ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลในระบบเสียด้วยซ้ำ รายงานจากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ซึ่งทำการศึกษาวิจัยร่วมกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ พบว่า เด็กจากครอบครัวยากจนมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ล้าหลังเพื่อนในวัยเดียวกัน ขณะที่มีครัวเรือนอินเดียเพียง 24 % เท่านั้น ที่เข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต และห้องเรียนออนไลน์ ที่หมายรวมถึงระบบ