จอมเทียน จันสมรัก: เฟมินิสม์เท่ากับสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนเท่ากับประชาธิปไตย ประชาธิปไตยเท่ากับเฟมินิสม์

หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์นี้ใช้คำว่า เฟมินิสม์ (Feminism) หมายถึง คตินิยมสิทธิสตรี และใช้คำว่า เฟมินิสต์ (Feminist) หมายถึง นักสตรีนิยม “เป็นเฟมินิสต์” ผู้หญิงที่นั่งอยู่เบื้องหน้ากล่าวแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มเรื่อ ผสานกับครึ้มเขียวและลมอ่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา กลายเป็นความสบายใจอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ ความกังวลก่อนหน้าเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องละเอียดอ่อนอย่างประเด็นทางเพศค่อยคลายผ่อน แม้หลายช่วงตอนของบทสนทนาจะเป็นเนื้อหาหนักๆ อย่าง การคุกคามทางเพศ ความรุนแรงทางเพศ สิทธิแรงงานข้ามชาติหญิง ข้อกฎหมายหรือการกระจายอำนาจเพื่อสิทธิสตรี กระนั้น ในฐานะผู้สัมภาษณ์ นี่คือการได้ยินได้ฟังประเด็นทางเพศและสิทธิสตรีที่มีความเข้าใจมนุษย์และสังคมไทยที่สุดครั้งหนึ่ง “เราเรียกร้องในประเด็นทั้งหมดนี้ก็เพราะหวังให้สังคมเกิดการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงทางเพศและการคุกคามทางเพศเป็นประเด็นของทุกคน” จอมเทียน จันสมรัก นักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defenders) สนใจและเชี่ยวชาญเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิทางเพศ สิทธิแรงงาน ซึ่งประเด็นสิทธิทางเพศที่เชี่ยวชาญที่สุดคือการทำ Case Management กรณีความรุนแรงด้วยเหตุทางเพศ รวมถึงประเด็นสิทธิแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะชาวเมียนมากับกัมพูชาในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ปัจจุบันงานที่จอมเทียนทำมีอยู่ 3 ขาหลัก ขาที่ 1 คืองานประจำใน NGO แห่งหนึ่ง เกี่ยวกับสิทธิแรงงาน เรื่องการให้แรงงานข้ามชาติในไทยสามารถรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องสิทธิได้ โดยเน้นว่าแรงงานข้ามชาติหญิงต้องมีบทบาทในการรวมกลุ่มและการส่งเสียงในกลุ่มนั้นด้วย ขาที่

ฮาซัน ยามาดีบุ: กระจายอำนาจ ทางออกสันติภาพชายแดนใต้

ฮาซัน ยามาดีบุ นักเคลื่อนไหวด้านการศึกษา และสันติภาพปาตานี ผู้ผันตัวจากครูสอนภาษาอังกฤษสู่ครูสันติภาพและการกระจายอำนาจเพื่อปาตานี ฮาซันอดีตครูใน จ.ยะลา ปัจจุบันตั้งองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวสันติภาพปาตานีผ่านการศึกษาในระบบโรงเรียนตาดีกา เพราะเขามองว่าการเรียนในห้องเรียนผ่านการศึกษาส่วนกลางไม่ได้สอนให้นักเรียนเท่าทันโลก จึงลาออกมาทำหลักสูตรการเรียนรู้ เป็นหลักสูตรที่ให้นักเรียนฝึกคิด วิเคราะห์ มีความเข้าใจ เท่าทันโลก เข้าใจเกี่ยวกับศาสนาซึ่งเกี่ยวข้องกับมาตุภูมิของผู้เรียนเอง และมีเสรีภาพทางความคิด ฮาซันมองว่าหลักสูตรที่ทำเอาไปใช้ในโรงเรียนตาดีกานั้นมีประโยชน์มากกว่าการเสียเวลาท่องจำและตากแดดหน้าเสาธงตามระบบการศึกษาส่วนกลาง “การศึกษาในโรงเรียนมันเน่าเฟะ ต้องท่องจำ ต้องลิ้นยาวจะได้ไต่เต้าไปหาความมั่นคงในชีวิตได้ ซึ่งผมคิดว่าแบบนั้นมันปิดโอกาสนักเรียนที่จะได้ใช้ช่วงวันของเขาแสวงหาความรู้ ปิดโอกาสไม่ให้นักเรียนได้อัพเกรดความรู้ให้ทันโลกและปิดโอกาสไม่ให้เขาได้พบกับความรู้ที่เขาอยากเอาไปใช้ในชีวิตวัยทำงานของเขาด้วย” และต่อจากนี้คือบทสัมภาษณ์ที่กรุณาเปิดใจอ่าน ปาตานีคืออะไร ทำไมคำนี้ถึงแสลงหูรัฐไทย เราต้องย้อนประวัติศาสร์ ในอดีตมันไม่มีคำว่า จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี มันมีแค่ชื่อเดียวว่า ปาตานี ซึ่งเพิ่งมาถูกแยกในสมัยรัชกาลที่ 6 เพราะสมัยก่อนหน้านั้นก็ยังใช้คำว่ามณฑลปาตานี พอเป็นระบบจังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน ไล่ลงมา พื้นที่นี้ประชากรเยอะหนาแน่นเลยต้องแยกเป็นจังหวัด และอีกส่วนหนึ่งที่แยกไปเป็น อ.เทพา อ.จะนะ ของจังหวัดสงขลา ปาตานีกลายมาเป็น 3 จังหวัด แยกไปตามพื้นที่ เหมือนจังหวัดอื่น อย่างจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แต่ทุกคนรู้ว่าตนเองคือ คนล้านนา ที่นี่เราก็เรียกตนเองว่า

บุญยืน สุขใหม่:อายุขัยเฉลี่ยแรงงานขึ้นกับสมการของผู้กดขี่

บุญยืน สุขใหม่ คือทนายความ คือผู้แนะนำตัวอาชีพของเขาว่า “ทนายก็เป็นกรรมกรในความหมายว่า อาชีพนี้แบกความหวังของคนงาน ความหวังของคนจนที่เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมในการประกอบอาชีพ นั่นแหละนิยามกรรมกร สาขาอาชีพทนายของผมครับ” เขายังเป็นผู้ประสานงาน กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก เป็นการรวมกลุ่มกันของสหภาพแรงงานที่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อเรียกร้องสิทธิ สวัสดิการ ความเท่าเทียมและความเป็นธรรมให้พี่น้องแรงงาน และยังเป็นกรรมการบริหาร สมัชชาคนจน ด้วย กรรมกรและคนจน หากคุณมองหาจะเจอตัวเขาในสิ่งของทุกสิ่งทุกชิ้นเท่าที่ร่างกายคุณสัมผัสได้ แรงงานได้ฝากรอยเหนื่อยเคลือบหยาดน้ำตา ที่ถูกปรุงให้รสขมปร่า ด้วยมิอาจหลีกเลี่ยงเสียงเสียดสีขูดรีดของนายทุน ผู้รีดเหงื่อ น้ำตาแรงงานเพื่อช่วงชิงการสะสมทุนมากมายเกินกว่า 1 รอบของชีวิตมนุษย์ เพราะเสียโอกาสและชีวิตหมดไปกับการทำงานภายใต้การสะสมทุนของนายทุนและชนชั้นผู้ปกครอง เมื่อหมดสภาพในการใช้งานก็อายุมาก ไม่มีโอกาสได้สะสมทุน จึงไม่มีเงินเหลือ ในประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการ ภายใต้สนามแข่งขันของโลกนี้ที่ถูกปกครองด้วยระบบกลไกทุนนิยมขูดรีด แรงงานที่ถูกกดขี่จากนายจ้างที่ขูดรีด เกิดเป็นชนชั้นขึ้นมา บุญยืน ทนายกรรมาชีพ จะพาทุกคนไปฟังความหวัง ความฝันของแรงงาน แม้อยู่ล่างสุดก็ยังคงมีความหวัง เพื่อพังทลายซึ่งชนชั้น ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มของคนทำงานในแต่ละอาชีพ เกิดเป็นสหภาพแรงงาน เพื่อบังคับชนชั้นที่กดขี่ให้ฟังและทำตามความต้องการของแรงงานบ้าง การที่เศรษฐกิจทุกอาชีพยังหมุนต่อได้นั้น จะขาดแรงงานในกลไกไม่ได้เลย จึงตามมาด้วยการเสียงเรียกร้องเพื่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตแรงงาน เพื่อความเป็นธรรม เท่าเทียมในศักดิ์ศรีของการมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน เราจำเป็นต้องสรรเสริญกรรมมาชน กรรมกรผู้แบกโลก โปรดเตรียมเครื่องดื่มหรือของโปรดไว้ข้างกาย เพื่ออรรถรสในการอ่านบทสัมภาษณ์นี้และไม่ลืมกล่าวสรรเสริญกรรมาชนผู้ไม่สมยอมต่อการกดขี่ ผู้มีความหวังทุกคนบนโลกนี้ แด่การสรรเสริญกรรมาชน แนะนำตัวเองหน่อย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์: ความเป็นไปได้ของการกระจายอำนาจ และเกมการชักเย่อในสนามการเมือง

หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นจนถึงวันนี้ เราน่าจะพูดได้ว่าภาพของสนามการเมืองไทยมีความแปลกตาไปจากเดิม ซึ่งความแปลกตาที่ว่านี้ อาจไม่ได้หมายถึงความเปลี่ยนแปลงตามที่หลายคนคาดไว้ก่อนมีการเลือกตั้ง หากเป็นความแปลกตาที่ชวนกระอักกระอ่วนและรู้สึกถึงความย้อนแย้งไม่น้อย ในความงุนงงสิ่งที่เคยเคลือบแคลงกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พร้อมกับบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นก็กลับปรากฏให้เห็น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุหลักมาจากการที่ พรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลได้ และ พรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ เช่น การกลับมาของผู้เล่นสำคัญอย่าง ทักษิณ ชินวัตร “การเมืองต่อจากนี้คือการชักเย่อกัน ระหว่างคนที่ต้องการเห็นประเทศเปลี่ยนแปลงกับคนที่ไม่ต้องการเห็นประเทศเปลี่ยนแปลง” ส่วนหนึ่งจากคำตอบของ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เมื่อถูกถามถึงทิศทางการเมืองไทยต่อจากนี้ อาจารย์ศิโรตม์ คือนักวิชาการผู้ติดตามและวิเคราะห์การเมืองไทยร่วมสมัยมาอย่างใกล้ชิด และยังทำหน้าที่เป็นสื่อมวลชนที่มีบทบาทอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ช่วงปี 2563 เรื่อยมาจนปัจจุบัน นั่นจึงการันตีได้ว่าสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อจากนี้ คือความเข้มข้นของความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ที่ให้รสชาติไม่แพ้กาแฟดำชั้นดีในยามบ่ายฟ้าเปิด การกระจายอำนาจในมุมมองของอาจารย์คืออะไร การกระจายอำนาจเป็นได้ทั้งในแง่อำนาจการเมือง อำนาจเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคืออำนาจในการจัดสรรทรัพยากรของตนเอง เพราะสังคมไทยแต่เดิมเป็นสังคมซึ่งรัฐไม่ได้รวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นสังคมซึ่งมีอำนาจในการควบคุมทรัพยากรระดับท้องถิ่น รัฐเพิ่งจะมาควบคุมได้ประมาณสมัยรัชกาลที่ 5 เท่านั้นเอง และในกระบวนการที่รัฐไทยพยายามควบคุมอำนาจเหนือพื้นที่ซึ่งไม่ใช่ส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นภาษี ส่วย หรืออำนาจการเมือง เฟสแรกของการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางก็มาด้วยการใช้กำลัง เราจะเห็นว่าในช่วงที่เริ่มมีการรวมศูนย์อำนาจในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่สังคมไทยมีความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนค่อนข้างสูง มีการต่อต้านตามหัวเมืองต่างๆ เกิดกบฏเจ็ดหัวเมือง เกิดกรณีเงี้ยวเมืองแพร่ กรณีอุดร

สุรพศ ทวีศักดิ์: นิรโทษกรรมคดีการเมืองและ112 ยุติความสุขบนเงื่อนไขอำมหิต

ในคำถามสุดท้ายของบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ สุรพศ ทวีศักดิ์ เล่าให้ฟังถึงเรื่องสั้นชิ้นหนึ่งชื่อ เหล่าผู้อำลาจากโอเมลาส ซึ่งพุ่งเป้าไปยังแกนหลักของการสนทนา เอาล่ะ! หากคุณอยากรู้ว่าเนื้อหามันเกี่ยวกับอะไร โปรดค่อยๆ ติดตามทัศนะของรองศาสตราจารย์ สาขาปรัชญา ผู้เขียนบทความวิจารณ์ประเด็นสังคม การเมือง ศาสนา ผ่านมุมมองทางปรัชญาในประชาไทอย่างแหลมคมคนหนึ่งของยุคนี้ ย้อนกลับไปก่อนเลือกตั้ง มาตรา 112 ถูกจุดให้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงกว้าง บ้างว่ากลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล บ้างว่ามันเป็นเพียงส่วนประกอบชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งจากหลายๆ ชิ้น “คดี 112” สุรพศกล่าว  “เกิดจากความคิด แรงจูงใจ และการแสดงออก ทางการเมือง อยู่แล้ว ถ้าทำเรื่องนี้ได้สำเร็จจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อถือต่อรัฐบาล พรรคการเมือง ระบบรัฐสภา โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ และจะเป็นจุดเริ่มต้นในการอภิปรายถกเถียงด้วยเหตุผลจากทุกฝ่ายที่เห็นต่างว่า ประเทศของเราจะสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคงควบคู่กับการมีสถาบันกษัตริย์ และทุกสถาบันทางสังคมและการเมือง กาดอกจันไว้ว่า ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ของเขาหมายถึง การนิรโทษกรรมคดีการเมืองทั้งหมด รวมถึงคดี 112 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความสุขบนเงื่อนไขอำมหิต นี่คือคำถามแรก ในบทความชื่อ ‘ยุคมืดภายใต้ 112’ ตอนจบอาจารย์เขียนไว้ว่า แทนที่รัฐบาลหรือกระบวนการรัฐสภา สื่อ และสังคมจะร่วมมือเร่งผลักดันการนิรโทษกรรมคดีการเมืองและ 112 เพื่อคืนอิสรภาพและความเป็นธรรมให้กับประชาชน และเพื่อเป็น

คุยเรื่องกระจายอำนาจในร้านหนังสืออิสระ

“ผู้ว่าฯ แต่งตั้งไม่เคยเชื่อมโยงกับประชาชน แม้บางคนจะเป็นคนพื้นที่ซึ่งกลับมารอเกษียณ เขาอยู่ใน safe zone ของชีวิตราชการที่ทำงานตามนโยบาย ไม่กระด้างกระเดื่องและปล่อยไหลไปตามระบบ” หากเราอนุมานตามกระแสสังคมที่ว่า การอ่านคือการเพิ่มทัศนคติและความรู้ใหม่ๆ ร้านหนังสือก็ไม่ต่างจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในสมการนั้น เราคุยกับ คีตญา อินทร์แก้ว เจ้าของร้านหนังสือ Low-Pressure Area : ความกดอากาศต่ำ ร้านหนังสืออิสระในจังหวัดสตูล หลากหลายประเด็นน่าสนใจชวนอ่าน ในมุมมองเจ้าของร้านหนังสืออิสระ ซึ่งเสมือนแหล่งท่องเที่ยว เป็นหน้าเป็นตาให้จังหวัด ยังขาดการสนับสนุนจากรัฐอย่างไรครับ พูดตรงๆ เลยก็คือเราไม่เคยได้รับการสนับสนุนใดๆ จากจังหวัดหรือหน่วยงานราชการเลย แต่แน่นอนว่า การตั้งใจทำร้านหนังสืออิสระของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นอิสระของตัวเราเองอยู่แล้ว ไม่ได้ต้องการการสนับสนุนจากทางราชการ ที่เราต้องการคือการมองเห็นความสำคัญและเห็นคุณค่าของร้านหนังสือในจังหวัด ไม่จำเพาะต้องเป็นร้านเราด้วย จริงๆ ในเมืองสตูลเคยมีร้านหนังสือมากกว่านี้ เคยมีชั้นหนังสือวรรณกรรมเยอะกว่านี้ แต่มันก็ค่อยๆ ตายไปด้วยวงจรของธุรกิจ เมื่อมันไม่ทำเงิน ร้านอื่นๆ ก็ส่งวรรณกรรมกลับคืนสายส่ง กลับคืนสำนักพิมพ์ ชั้นวรรณกรรมจึงว่างเปล่า และถูกแทนที่ด้วยสินค้าอย่างอื่น ซึ่งเราเห็นแล้วก็เสียดาย เปิดร้านหนังสือมา 7 ปี ไม่เคยมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายกฯ อบจ. หรือผู้มีความสามารถในการผลักดันในเชิงนโยบายเข้ามาที่ร้าน มาชายตาแล ไม่เคยมองเห็นความสำคัญว่าร้านหนังสือช่วยดูแลเยาวชนอย่างไร

รักชนก ศรีนอก: ความจนมิได้หล่นจากฟ้า

ความสำเร็จของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิดความเชื่อทั้งในระดับสังคมและปัจเจกอย่างมีนัยยสำคัญ หลังจากการบ่มเพาะที่มีผลมาจากการตื่นตัวทางความคิดความเชื่อของประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราคงกล่าวได้ว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มพัดเข้าสู่สังคมไทยแล้ว และนั่นทำให้การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์หลายอย่างเป็นที่พูดถึง หนึ่งในนั้นคือผู้สมัคร ส.ส. หน้าใหม่ ที่เอาชนะ ส.ส. หน้าเก่าอย่างถล่มทลาย เขตเลือกตั้งที่ 28 กรุงเทพมหานคร จอมทอง (เฉพาะแขวงบางขุนเทียน) เขตบางบอน (ยกเว้นแขวงบางบอนใต้และแขวงคลองบางบอน) และเขตหนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม) จากการหาเสียงด้วยจักรยานคันเดียว และใช่ นี่คือบทสนทนากับเธอ ตัวตึง ไอซ์-รักชนก ศรีนอก ตลอดเวลาที่สัมภาษณ์ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต่างออกไปจากการพูดคุยกับนักการเมืองที่ผ่านมา ผู้หญิงเบื้องหน้าผมพูดคุยด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ และเปี่ยมด้วยความเป็นธรรมชาติมากที่สุดคนหนึ่ง ยามบ่ายปลายฤดูร้อน ต่อหน้าเครื่องดื่มเย็นในแก้วกระดาษ ผมกำลังพูดคุยกับ ส.ส. หน้าใหม่ ไอซ์-รักชนก ว่าด้วยเรื่องที่มา ตัวตน มุมมองทางการเมือง การกระจายอำนาจ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ หลากเรื่องเนิ่นยาว เท่าเวลาของแดดเดือนกรกฎาคม คุณเติบโตมาอย่างไร เป็นลูกบุญธรรมของบ้านที่ค่อนข้างลำบาก เพราะเขามีลูก 6 คน รับเรามาเป็นคนที่ 7 ฐานะไม่ค่อยดี พวกพี่ๆ ก็ไม่ค่อยได้เรียน พอพี่คนหนึ่งคลอดลูกชายออกมา เราก็เหมือนเป็นเด็กที่โดนเปรียบเทียบ

พนิดา มงคลสวัสดิ์: ก้าวไกลผู้ล้มบ้านใหญ่ในสมุทรปราการ

เกิดในชนชั้นแรงงาน โตในชนชั้นแรงงาน พนิดา มงคลสวัสดิ์ เข้าใจดีถึงความลำบากยากเข็ญ เหงื่ออาบหน้าตอนออกรอบตีกอล์ฟ กับตอนหลังขดหลังแข็งทำงานโดยได้ค่าแรงต่ำเตี้ยเลียดินมันต่างราวฟ้ากับเหว “พี่น้องแรงงานทำงานควงกะจนไม่รู้จะควงยังไงแล้ว ชีวิตคนเราตื่นตั้งแต่ตีห้าหกโมง ออกไปทำงาน เลิกงานปกติของคนอื่นห้าหกโมง ของเราไม่ มีแรงเหลือ ควงไปอีกสักหน่อย เลิกงานสักสี่ทุ่ม กลับถึงบ้านเที่ยงคืน แปดโมงเช้าเริ่มใหม่ เอ้อ! ชีวิตต้องทำงานเป็นเครื่องจักรขนาดนั้นยังบอกไม่ขยันอีก” บรรทัดด้านบนจึงเป็นการพูดอยู่บนความจริง เสียงจริง จากตัวจริง ปัจจุบันพนิดาเป็น ส.ส.เขต 1 จังหวัดสมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ล้มบ้านใหญ่พังครืน ลบมายาคติเชยๆ ว่า เลือกตั้งไปก็เท่านั้น ได้บ้านใหญ่ ได้หน้าเดิม กระทั่งได้มาเฟีย เพราะปัจจุบัน ผู้คนเลือกจากนโยบาย เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา เชิญอ่านทัศนะของเธอ ทั้งเรื่องกระจายอำนาจ เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ นักโทษการเมือง ม.112 และอื่นๆ สมัยเด็กกว่านี้ คุณให้สัมภาษณ์ว่า เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย คุณพ่อมาจากอุดรธานี คุณแม่มาจากสกลนคร มาพบรักที่สมุทรปราการ และเกิดเป็น ผึ้ง พนิดา เพราะหลีกหนีความยากจนจากต่างจังหวัด

เฌอเอม – ชญาธนุส ศรทัตต์: โรยสายรุ้งให้เท่าเทียมกันทุกจังหวัด ชีวิตที่เสมอภาคและกระจายอำนาจทั่วประเทศ (2)

ช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2562 เฌอเอม – ชญาธนุส ศรทัตต์ มิสแกรนด์ลำพูน 2022 ส่งข้อความหาผู้สมัคร ส.ส.ทุกพรรคในเขตบ้านของเธอ ถามเรื่องปัญหามลภาวะทางเสียงและอากาศว่าจะแก้อย่างไร ผลคือมี อนาคตใหม่ พรรคเดียวที่ตอบกลับมา “ทั้งๆ เป็นพรรคที่ยังไม่มีอำนาจเลย คนในพื้นที่ไม่รู้จัก ไม่สนับสนุน” คุณรู้สึกอย่างไร ประทับใจจากข้อความอันเดียวของเขา เพราะเราไม่ต้องการนักการเมืองที่เหมือนตำรวจคนนั้น ที่ขับมาแล้วไม่จับใคร ไม่ทำอะไรสักอย่าง คือเราไม่ต้องการการทอดทิ้งจากรัฐ เราต้องการนักการเมืองที่ฟังสียงของเรา ตอนนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่า เออ นักการเมืองมันไม่ใช่แบบที่เราไปนั่งชั่งน้ำหนักเอาว่าดีหรือไม่ดี เราเลือกโพสต์ออกเฟซบุ๊กเลยว่า เราชื่นชมมาก เราไม่ต้องการหรอกค่ะนายกฯ คนดี เราต้องการนายกฯ คนเก่งที่สามารถทำงานได้ รู้ปัญหาของประชาชน เพราะถ้าท่านดีบนศีลธรรมของตนเอง ดีอยู่บนหอคอยงาช้าง ประชาชนก็ไม่ได้อะไร เราอยากให้ยุคสมัยใหม่มันมาถึง หลังจากสเตตัสนั้นโพสต์ลงไปในเฟซบุ๊ก เราเป็นนางแบบมานานพอสมควรในช่วงนั้น วันรุ่งขึ้นไปงานเดินแบบ ไม่มีใครรับไหว้เลย แล้วก็ไม่มีงานอีกเลย และนั่นคือเทิร์นนิ่งพอยท์ของเรา จากคนที่บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่คนเทคแอคชันอะไร เรากลายเป็นคนเทคแอคชันเลย เพราะเรามีความรู้สึกว่า เราไม่สามารถอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไปได้ เจอปัญหาในการทำงานอะไรอีก มันเหมือนเรารอวันตายอะ เพราะ คนพวกนี้ เขาอยากให้เรา

เฌอเอม – ชญาธนุส ศรทัตต์: จากผู้วางเฉยสู่ผู้ตื่นรู้ (1)

หากพูดถึงเวทีการประกวดนางงาม เราอาจคุ้นเคยกันหลายเวที แต่หากนึกถึงนางงามที่ส่งเสียงและเคียงข้างประชาชน เฌอเอม – ชญาธนุส ศรทัตต์ คือหนึ่งในท็อปลิสต์ของบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมและต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อเข้าถึงปัญหาและร่วมสู้กับขบวนพี่น้องบางกลอยและประเด็นชาติพันธุ์ เรามักเห็นเฌอเอมปรากฎตัวและพูดถึงความต้องการและปัญหาซึ่งพื้นที่เจออยู่เสมอ จนเกิดการลบภาพจำการเป็นนางงามในอดีตที่อยู่ไกลตัวประชาชน สร้างมาตรฐานนางงามที่เคียงข้าง ใกล้ชิดประชาชน ยึดโยงตนเองกับพื้นที่เพื่อพูดแทนพี่น้องประชาชน นอกจากการทำงานของ เฌอเอม ที่พิสูจน์ตนเองมาโดยตลอดว่า การเป็นมิสแกรนด์ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้ เฌอเอมมักมีหลักการในการพูดถึงข้อเสนอต่อการเปลี่ยนแปลง และเมื่อได้เจอกับผู้มีอำนาจ อย่างในเวทีการประมวดมิสแกรนด์ครั้งล่าสุด ไพบูลย์ นิติตะวัน หนึ่งในสมาชิกรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา เฌอเอมได้ทวงถามและยืนยันถึงปัญหา การรับผิดชอบและการแก้ไข นี่คือสิ่งที่เฌอเอมทำมาโดยตลอด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เห็นมิสแกรนด์คนนี้อยู่งานเคลื่อนไหวบนท้องถนน เคียงคู่พี่น้องอยู่เสมอ และยังเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากโลกออนไลน์ด้วยสิ่งที่เฌอเอมทำ ครั้งนี้เราจะมาพูดคุยกับเฌอเอมในฐานะคนที่ขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม ร่วมกันฟังเสียงของประชาชนผ่านเรื่องราวที่เฌอเอมพบเจอ มุมมองและเข้าใกล้ความคิดของเฌอเอม มากขึ้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอำนาจจะอยู่ในมือประชาชน และบทสัมภาษณ์นี้ขอเป็นหนึ่งในแรงเล็กๆ ที่จะสนับสนุนให้เกิดการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางมาเป็นการให้อำนาจประชาชนกำหนดทิศทางของประเทศ ด้วยอำนาจที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศจะได้วางทิศทางของสังคมด้วยมือของตนเอง ไม่ใช่คนลำพูน ไม่ใช่คนที่สูงกว่าใคร เป็นประชาชนที่อยากเห็นชัยชนะของประชาธิปไตย ทำไมถึงลงมิสแกรนด์ลำพูน เราไม่ใช่คนลำพูน เราเป็นคนนนทบุรีที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ย้ายบ้านมากรุงเทพฯ ด้วย แต่ลงมิสแกรนด์ลำพูนเพราะว่า เราชอบคอนเซปต์ของมิสแกรนด์ที่เป็นนางงามแต่ต้องอยู่กับชุมชน แม้ว่าคนอื่นจะทำหรือไม่ทำก็เรื่องของเขา แต่เราซื้อคอนเซปต์นี้ เราก็เลยดูในภาคเหนือว่ามันมีจังหวัดไหนบ้างที่มันมีความน่าสนใจในเรื่องของวัฒนธรรมหรือเรื่องชุมชน ก็เลยมาเจอลำพูน